วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Froridy Review Series : Daebak / Jackpot / The Royal Gambler [เกมพนันแห่งโชคชะตาที่มีชีวิตและบ้านเมืองเป็นเดิมพัน]







Daebak / Jackpot / The Royal Gambler

เกมพนันแห่งโชคชะตาที่มีชีวิตและบ้านเมืองเป็นเดิมพัน



***คำเตือน เป็นรีวิวตามใจฉัน (รีวิวแรกในชีวิตด้วยค่ะ-มีความเลือกชื่อเรื่องไม่ถูก มาซะตั้งสามชื่อ...ตอนจะหาเพลงฟัง หรือหาแท็กในทวิตเตอร์ เป็นอะไรที่ลำบาก ต้องหามันทั้งสามชื่อค่ะ ฮา...) อาจมีสปอยเล็กน้อย และอาจจะอ่านไม่รู้เรื่องเนื่องจากตอนเขียนรู้สึกมึนๆ กรึ่มๆ  ใครที่หลงเข้ามาแล้วไม่ชอบความเวิ่นเว้อ จรลีให้ห่างค่ะ ข้อมูลเนื้อหาอาจตกหล่นไปบ้าง โปรดอภัย








นักแสดงนำ
จางกึนซอก เป็น แพคแทกิล
ยอจินกู เป็น องค์ชายยอนอิง / กษัตริย์ยองโจ
อิมจียอน เป็น ดัมซอ
จุนกวางริล เป็น อีจินฮวา
ชเวมินซู เป็น กษัตริย์ซุกจง
ยุนจินซอ เป็น พระสนมซุกบิน


เรื่องย่อ : ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์ 24 ตอน ผสานศาสตร์แห่งการปกครองและการพนันเข้าไว้ด้วยกัน
                เรื่องราวการต่อสู้ขององค์ชายสองพี่น้อง คนพี่ชื่อแพคแทกิล ถูกเลี้ยงดูมานอกวังและเติบโตอย่างสามัญชนทั่วไป ส่วนคนน้องเกิดและโตในวัง มีชื่อว่าลีกึม หรือที่เรียกกันตามตำแหน่งว่า ยอนอิง ซึ่งต่อไปจะขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ที่ 21 แห่งโชซอน นามว่า พระเจ้ายองโจ (ใครที่รู้สึกคุ้นๆ ให้คิดถึงเรื่องทงอีกับลีซานค่ะ ยอนอิงเป็นลูกของทงอีกับพระเจ้าซุกจง เป็นพ่อขององค์รัชทายาทซาโด และเป็นปู่ของลีซาน)
                เกมพนันบัลลังก์และบ้านเมือง มีจุดเริ่มต้นมาจากอีจินฮวา ผู้คั่งแค้นพระราชา ได้วางแผนทำให้นางในคนหนึ่งซึ่งเป็นภรรยาของนักพนันแพคมันกึมถูกตาต้องใจกษัตริย์ซุกจง กษัตริย์แย่งชิงนางจากสามีเก่ามาด้วยเกมพนัน ต่อมานางในคนนั้นได้รับตำแหน่งพระสนมซุกบิน อีจินฮวาต้องการใช้ประโยชน์จากเด็กที่ถือกำเนิดจากพระสนม สนมซุกบินได้ให้กำเนิดพระโอรสก่อนกำหนดหกเดือน เลยถูกสงสัยว่าจะเป็นลูกจากสามีเก่า พระสนมกลัวลูกตาย และไม่อยากให้ลูกตกเป็นเครื่องมือของอีจินฮวา จึงส่งลูกออกไปให้สามีเก่าเลี้ยงดูนอกวัง เด็กน้อยเติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มมีชื่อแคตง ต่อมาแพคมันกึมเปลี่ยนชื่อให้สมฐานะชนชั้นขุนนาง จึงมีนามใหม่ว่า แพคแทกิล





               
ถัดจากนั้นเพียงปีเดียว พระสนมได้ให้กำเนิดโอรสอีกคนซึ่งก็คือ องค์ชายยอนอิงนั่นเอง






                แรกๆ แทกิลใช้ชีวิตอย่างเด็กหนุ่มทั่วไปที่ชอบเล่นพนันอยู่เป็นนิจ ส่วนองค์ชายยอนอิงแกล้งทำตัวเจ้าชู้เสเพล เมาเหล้าหัวราน้ำตามแผนของเสด็จแม่ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าโจมตีของเสนาบดี จะได้มีโอกาสชิงบัลลังก์ ทั้งสองได้พบกันโดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายคือพี่น้อง หลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน และยังกลายเป็นเพื่อนกันในเวลาต่อมา อีจินฮวาคอยก่อกวนทั้งสองฝ่าย ทำให้แทกิลและยอนอิงพบอุปสรรคมากมาย ยอนอิงถูกขัดขวางไม่ให้ทำงานสำเร็จ แทกิลต้องตกระกำลำบากยิ่งกว่าตกนรก แต่ยังโชคดีตรงที่แทกิลได้รับความช่วยเหลือจากคิมเชกอน นักดาบอันดับหนึ่งแห่งโชซอน อดีตเคยเป็นหัวหน้าองครักษ์ของพระราชา แทกิลได้คิมเชกอนเป็นอาจารย์สอนวิชาต่อสู้จนฝีมือเก่งกาจ แท้จริงแล้วอีจินฮวาต้องการให้แพคแทกิลเป็นพระราชาในระบอบการปกครองใหม่ที่ตนกำลังจะสร้างขึ้น ทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อปั้นให้แทกิลกลายเป็นพระราชาในแบบที่ตนต้องการ  ทางฝ่ายยอนอิงเห็นพฤติกรรมน่าสงสัยของมารดา จึงสืบรู้ว่าพี่ชายของตนที่คลอดก่อนกำหนดคือแพคแทกิล ทั้งสองได้พบกัน อีจินฮวาบอกความจริงกับแพคแทกิลว่า องค์ชายยอนอิงคือน้องชายแท้ๆ ของเขา นี่คือจุดเริ่มต้นของแผนการยั่วยุที่ทำให้ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องสั่นคลอน ความสูญเสียที่ประเดประดังเข้ามาทำให้เรื่องราวพลิกผัน สองพี่น้องมองเห็นหนทางที่แตกต่างแห่งโชคชะตาของตน ยอนอิงต้องการปกปักษ์รักษาบัลลังก์และความมั่นคงของโชซอน ส่วนแทกิลต้องการหยุดยั้งความสูญเสียที่เกิดจากการชิงอำนาจ ในขณะที่แทกิลทำทุกอย่างเพื่อประชาชนในฐานะสามัญชน ยอนอิงต้องก้าวเดินบนหนทางเปื้อนเลือดเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งพระราชาองค์ที่ 21 แห่งโชซอน แทกิลไม่อยากให้เกิดความสูญเสียใดๆ ส่วนยอนอิงยอมสละทุกอย่าง ศึกสายเลือดราชวงศ์ดำเนินไปโดยการชักใยของอีจินฮวา ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป เคียงข้างกันในฐานะมิตรสหายร่วมสายเลือด หรือหันคมดาบเข้าหากันในฐานะศัตรู


มุมวิจารณ์

-          นักแสดงทุกคนแสดงดีมากค่ะ แต่บทกับพล็อตมีความสับสนมึนงงบ้างเล็กน้อย ดูๆ ไปก็เริ่มไม่เข้าใจว่าตัวละครตัวนี้ทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร แล้วการพนันที่ใส่ผสานมากับพล็อตเรื่องสงครามการเมือง เริ่มลดทอนความสำคัญลงในตอนท้าย จนเราคิดว่าจริงๆ เรื่องนี้จะทำแบบเล่าเรื่องโดยไม่มีการพนันเลยก็ยังได้ แต่โดยภาพรวมแล้วเรื่องออกมาสนุกใช้ได้ค่ะ นักแสดงคุณภาพจริงๆ
-          เพลงประกอบซีรีส์และดนตรีประกอบฉากซีนอารมณ์ไพเราะมาก
-          สงสัยว่าเรื่องนี้นางเอกคือใครกันแน่ 555
-          ปัญหาเรื้อรังของการปกครองมีผลมาจากความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ของพรรคโซรนและโนรนด้วย ความเห็นแก่ตัวชนชั้นปกครองทำให้เลือดนองราชสำนัก ประชาชนเผชิญความทุกข์ยาก
-          ตัวละครเอกสองตัว แพคแทกิล และองค์ชายยอนอิง มีการเติบโตทางด้านการกระทำและความคิดอย่างชัดเจน แทกิล จาก เด็กหนุ่มธรรมดา(ที่มีสายเลือดราชวงศ์) กลายเป็นราชาเดินดินที่ช่วยเหลือราษฎร ยอนอิง จากองค์ชายอุดมการณ์แรงกล้าผู้ต้องการช่วยเหลือประชาชน สู่การเดินหน้าสู่ราชบัลลังก์ที่เจิ่งนองไปด้วยเลือด














            -          ถ่ายทอดแง่มุมของพระราชาออกมาได้ดี อำนาจคือความเดียวดาย 
                        (จินกูแสดงดีมาก อินน้ำตาพรากอยู่หน้าจอคอมเลยทีเดียว)
-          จางกึนซอกทุ่มเทมาก...ฉากกินงูกินปูตกบ่อขี้นั้น อื้อหือ...สุดยอด
-          บทพระเอก แพคแทกิลมีความเป็นพระเอกมากเกินไป เหมือนสีขาวท่ามกลางสีเทาของทุกตัวละคร
-          แง่คิดดี จบได้ประทับใจ ทั้งเศร้าและมีความสุข
-          ฮยอนวูที่แสดงเป็นพระเจ้าคยองจง ถ่ายทอดความเป็นพระราชาที่น่าสงสารออกมาได้ดี อ่อนแอแต่ไม่ใช่ไม่รู้เรื่อง
-          พระราชาซุกจงฉลาดโหดที่สุดในเรื่อง
-          ขันทีแฝดหล่อมาก ไม่แก่ไม่ตาย อายุยืนถึงสามแผ่นดิน
-          บทอีจินฮวามีความน่ารำคาญ แต่จุนกวางริลก็ตีบทแตกค่ะ ทำให้เราเกลียดได้เพียงแค่โผล่หน้าเข้ามาในฉาก 555
-          แอบขัดใจตอนจินกูแปะหนวด ถึงจะหล่อก็เถอะ แต่รู้สึกใจหาย น้องยังเด็กนะ นอกจากจะแปะหนวดแล้ว ยังมีลูกด้วย โอ้ว...555 จางกึนซอกดูเข้ากับหนวดมากค่ะ
-          ตัวละคร เช่น แพคแทกิล อีจินฮวากับผองเพื่อน มีความอึดถึกทนเกินมนุษย์มนา ตายยาก ทนทายาด
-          ใช่ว่าเนื้อเรื่องจะเครียดอย่างเดียว ช่วงแรกๆ มีบทเฮฮาพอกรุบกริบน่ารัก เช่น บทพี่หยอกน้อง แกล้งน้อง บทองค์ชายที่เก๊กขรึมมาตลอดดันเข้าโหมดสายฮาชั่วขณะ ไม่ว่าจะตอนวิ่งหนี (ไปดูฮากนี้เอาเองค่ะ ฮ่าๆ) ฉากโดนถีบล้มกลิ้ง ฉากแกล้งพี่ให้พี่รับมือกับศัตรูแทน ฉากที่สั่งทำโทษซอลอิม (สาวอีกคนที่หลงรักแทกิล เราเชียร์คนนี้ค่ะ) ฉากระหว่างอาจารย์กับศิษย์ของแทกิลกับคิมเชกอน เป็นต้น พอเข้ากลางเรื่องไปจนถึงช่วงหลังๆ เรื่องจะหนักและเครียดมากค่ะ ตามประสาจุดพีคใกล้จบ


มุมจิ้นระเบิด (ใครไม่ชอบอ่านข้ามได้ค่ะ)

                     ดูตั้งแต่ต้นจนจบแล้วกรีดร้องในใจ นี่มัน Bromance นี่นา! ตกลงพระเอกนางเอกที่แท้จริงคือ แทกิล-ยอนอิง ใช่ป่ะเนี่ย โอ้ยย ฮา...เราอดที่จะจิ้นไม่ได้จริงๆ ค่ะ คู่พี่น้องเขาน่ารักจริงๆ แทกิลแมนมาก จะปกป้องน้อง ขอให้น้องเชื่อใจ ยอนอิงอยากเชื่อใจพี่ แต่ด้วยภาระหน้าที่ทำให้ไม่อาจให้ใจทั้งหมดได้ น้องมีความปากแข็ง อยากรั้งพี่ไว้แต่ก็ไม่ยอมแสดงออกตรงๆ “ไม่ว่าเจ้าจะไปอยู่ที่ใด ขอให้อยู่ในที่ๆข้าตามหาเจ้าได้” อื้อหือ...เลือดวายระเบิดค่ะ จริงๆ มันซู่ซ่ามาตั้งแต่ฉากพี่หยอกน้อง น้องหยอกพี่แล้วค่ะ นางเอกมีนะคะ แต่นาง...(ไม่สปอยนะคะ อิอิ) ฉากจบ ณ ทุ่งหญ้าบนเนินเขา สายลมพัดผ่านต้นหญ้าเอนไหว พี่ชายกำลังจะแต่งงานพรุ่งนี้ แต่หนีเจ้าสาวมาหาน้องชายที่ยืนรออยู่บนเนิน อืม...ค่ะ 55555 ดีต่อหัวใจ ^^



ความรู้สึกหลังดูจบ
                จุดสูงสุดของอำนาจแลกมาด้วยความสูญเสียและความเดียวดาย เรายิ่งอินเข้าไปใหญ่ เมื่อรู้ว่าตามประวัติศาสตร์แล้วต่อไปยอนอิงจะต้องสั่งประหารโอรส ซาโด โดยขังไว้กล่องข้าวจนตาย ต่อไปมเหสีองค์ที่สองของพระองค์ (พระมเหสีจองซุน) จะขัดแย้งกับลีซาน หลานของพระองค์อีก เลือดหลั่งไม่จบไม่สิ้น
                เราเห็นด้วยกับประโยคหนึ่งของพระเจ้ายองโจที่กล่าวกับแพคแทกิลว่า “ในการปกครองไม่มีการถอนรากถอนโคน เจ้าต้องเหลือรากของมันไว้เพื่อผลประโยชน์บางประการ” เราไม่ค่อยชอบแนวทางนี้นัก แต่ก็เห็นว่าปัจจุบันการปกครองในลักษณะนี้ก็ยังดำเนินอยู่ และแท้จริงแล้วมันไม่มีวันหมดไป จะถอนรากไปกี่ครั้ง มันก็ทิ้งเชื้อเอาไว้ ในเวลาที่ประจวบเหมาะ ก็ลุกฮือขึ้นมาใหม่





สองพี่น้อง


(มีความแคปภาพได้กาก...แงง ข้อมูลมือถือมาหมด 555)




ขอบคุณที่แวะมาอ่านจนจบนะคะ อิอิ




Froridy
                20 /06/2016





ปล. ถึงเราจะไม่ได้เขียนดีมากนัก แต่ก็ตั้งใจเขียน หากจะนำเนื้อหาไปใช้ กรุณาให้เครดิตด้วยค่ะ 






วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Fanfic KNB [Aomine x Momoi] : My love in my life [END]





Shot fiction  : My love in my life
Author : froridy
Relationships : Aomine Daiki X Momoi Satsuki
Fandom  : Kuroko no basuke
Warning  : Normal
Note : ฟิคสั้นมาก...แต่งแบบล้วงลึกทะลวงใจ พล็อตทั่วไปจนเดาได้ แต่ตั้งใจให้ลึกซึ้ง 555 อาจมีงงนิดๆ ตอนแต่งก็คิดว่าเรากำลังแต่งอะไรหว่า ฮ่าาา
Summary: แด่กำแพงแห่งรักที่ไม่เคยพังทลาย...แต่รักยังดำรงอยู่ตลอดไป




                “ไดจังรู้ไหม ว่าฉันน่ะรักนายมาตลอดเลยนะ” โมโมอิเอ่ยขึ้นตอนที่กำลังไกวชิงช้าอยู่ข้างๆ ชายหนุ่ม เธอเอ่ยด้วยเสียงสดใสเริงร่า ราวกับว่าไม่ทรมานในถ้อยคำเหล่านั้น
                “ฉันจำได้ว่าเราอยู่ด้วยกันมานานแค่ไหน และฉันก็มีแต่นายจริงๆ” เธอดีดตัวเองไปให้สูงขึ้นและถอยกลับมา ผมสีกุหลาบสะบัดพลิ้ว เธอยังงดงามไม่เสื่อมคลาย ราวกับว่าหยุดเวลาไว้ตอนอายุยี่สิบกว่าๆ สวนทางกับเขาที่ดูแก่เกินวัยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
                อาโอมิเนะถอนใจ เขาไกวชิงช้าเอื่อยเฉื่อย โมโมอิหัวเราะคิกใส่เขา “อย่าทำตัวแก่อย่างงั้นสิไดจัง หน้าย่นหมดแล้ว”
                “เรื่องของฉันเถอะน่า...ว่าแต่” อาโอมิเนะหยุดเสียงไปพักหนึ่ง หญิงสาวหันมามองด้วยดวงตาใสแจ๋ว “เธอรักฉันจริงๆ หรอซัทสึกิ”
                “ก็ใช่น่ะสิ” เธอตอบอย่างไม่เขินอาย “รักรองจากพ่อแม่ของฉันเลยล่ะ”
                “ถ้าชัดเจนขนาดนี้ แล้วทำไมเธอถึงไม่เลือกฉันตั้งแต่แรกล่ะ” เขาถามเสียงขุ่น โมโมอิส่ายหัวไปมา “นายก็น่าจะรู้นี่ไดจัง เราอยู่ด้วยกันมาตลอด เราสนิทสนมกันม้ากกก” เธอลากเสียงสูง “ฉันคิดมาตลอดว่าไดจังน่ะเหมือนน้องชายฉันเลย แล้วฉันก็คิดว่านายคงจะเห็นฉันเป็นพี่สาว”
                “ฉันไม่เคยคิดแบบนั้น” เขาปฏิเสธ โมโมอิยิ้มจางๆ “นั่นสิน้า เพราะความไม่รู้และการคิดไปเองนี่แหละ ที่ทำให้เราไม่ได้เริ่มต้นกัน อ้อ! แล้วนายก็ไม่เคยบอกรักฉันด้วย”
                “ใครมันจะไปรู้”
                “นั่นสิ เราไม่รู้ว่าเรารักกัน นี่...รู้ไหม ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันจะบอกรักนายตั้งแต่ยังอยู่ในตู้อบเลยล่ะ”
                “หึ ยัยบ้า” อาโอมิเนะแค่นหัวเราะ โมโมอิยังเพ้อฝันได้พิลึกกึกกือเหมือนเดิม
                “ถ้าเธอรักฉัน แล้วสามีเธอล่ะ?
                “อืม...ฉันก็รักเขาเหมือนกัน เขาทำให้ชีวิตของฉันเต็มไปด้วยความสุข เขาทำให้ฉันกลายเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก” โมโมอิหันมายิ้มให้ “แม้ฉันจะรักนายขนาดไหน ถึงจะอยากบอกรักนายตั้งแต่ในตู้อบ แต่ถ้าให้เลือก ฉันก็ยังจะแต่งงานกับเขา”
                “โหดร้ายเสียจริงนะ” อาโอมิเนะถอนหายใจ “เธอแทงฉันสิบกว่าแผลแล้ว ไม่รู้หรือไง”
                “ขอโทษจริงๆ นะ แต่มันไม่เหมือนกันนี่” โมโมอิม้วนปอยผมเล่น “คนที่รักตลอดไปจนวันสุดท้ายแม้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน กับคนที่เราอยากเคียงข้างตลอดเวลาที่เหลืออยู่”
                “พวกเราทำให้เรื่องของเรามันยากเกินไป” อาโอมิเนะกล่าว โมโมอิพยักหน้า “ใช่ คงเพราะเรากลัวว่ามันจะเปลี่ยนไป ความรักมันทำลายสัมพันธภาพแบบเพื่อนได้ คนที่เป็นเพื่อนกันมายาวนาน พอรักกันได้สองปีก็เลิกรา มองหน้ากันไม่ติด ไม่ใช่ทุกคนหรอก เพื่อนสนิทบางคู่ก็กลายเป็นครอบครัวที่น่าอิจฉา แต่สำหรับพวกเรา...เราต่างรู้ว่าเราเป็นคนยังไง”
                โมโมอิเช็ดน้ำตา “ฉันขอโทษนะที่รักนายแบบนี้”
                อาโอมิเนะยิ้มบางๆ “ฉันรู้ ฉันก็ขอโทษเหมือนกัน”
                “ฉันรักนายนะไดจัง”
                อาโอมิเนะยิ้มขมขื่น “ฉันรักเธอ ซัทสึกิ”
                โมโมอิยิ้มทั้งน้ำตา พวกเขายื่นมือมาจับกันไว้ ระหว่างไกวชิงช้าด้วยกัน


                “คุณปู่คุยกับใครอยู่หรอครับ” หลายชายตัวน้อยวิ่งมาหาเขา และถามด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว อาโอมิเนะมองมือที่เหี่ยวย่นของตัวเอง แล้วชักกลับมาไว้บนตัก จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งลูบหัวเด็กชาย “นางฟ้า...ไม่สิ เรียกว่ายัยแม่มดน่าจะถูกกว่า”
                “เธอสวยมั้ยฮะ” เด็กชายตาวาว อาโอมิเนะจึงแกล้งทุบหัวสั่งสอน “โอ้ย ปู่ง่า!
                “ไปเล่นต่อไป ปู่ต้องการความสงบ”
                “แบร่ ไปก็ได้ ชิ!” เด็กชายหันหลังกลับวิ่งไปหาพ่อแม่ของตนอีกฝั่ง อาโอมิเนะยิ้มให้ครอบครัวตัวเอง และหันไปยิ้มให้ชิงช้าที่ว่างเปล่า

                “อีกไม่นานเราคงจะได้พบกัน”





วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Fanfic KNB [Kagami x Takao] : Rain in your eyes [7] END




fiction  : Rain in your eyes 7 [ตอนจบ]
Author : froridy
Relationships : Kagami Taiga x Takao kazunari / Midorima x Takao / Kagami x Himuro / Murasakibara x Himuro
Fandom  : Kuroko no basuke
Warning  : Yaoi
Note : เราเลือกที่จะจบแบบนี้ค่ะ...จริงๆไม่ได้คิดเลยว่าจะให้จบแบบนี้ ฮ่าๆ
Summary: เราไม่ได้โหยหาช่วงเวลาหนึ่งที่เราเคยมีร่วมกัน แต่เราโหยหาช่วงเวลาหลังจากนั้นที่เราอยากจะมีเมื่ออยู่เคียงข้างกันต่างหาก ไม่ว่ามันจะเรียกว่ารักหรืออะไรก็ตามที

           



                ทาคาโอะเคยดูหนังอยู่เรื่องหนึ่ง มันมีคำคมที่น่าสนใจว่า บางทีนี่อาจไม่ใช่ความรัก แต่เรากำลังโหยหาช่วงเวลาที่เราเคยมีร่วมกันกับใครคนหนึ่ง และเราก็เข้าใจผิดไปว่ามันเป็นความรัก ทาคาโอะคิดว่าน่าจะใช้ได้กับกรณีของเขาในตอนนี้
                ทาคาโอะคบกับมิโดริมะแล้ว แต่ทุกคืน...ยามเมื่อเอนกายนอนลงบนเตียง ทาคาโอะมักจะฝันเห็นคางามิ เรือนร่างสูงใหญ่ที่โน้มอยู่เหนือเขา ผมสีแดงสลับดำ เหงื่อที่ไหลลงมาตามขมับและสันกราม มีไฟลุกไหม้อยู่ในดวงตาที่ทอดต่ำ  ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอขึ้น ไหล่กว้างแข็งแรงตั้งฉากสง่างามเหนือแผ่นอกสีน้ำผึ้งที่สะท้อนขึ้นลง แผ่คลื่นกระจายลงมายังกล้ามท้อง
                ทาคาโอะกลืนน้ำลาย เขาหน้าแดง เหมือนยังได้กลิ่นของคางามิอยู่ กลิ่นอบอุ่นเหมือนกับแดดที่ส่องหลังฝนซา
                พอตื่นขึ้นมา ทาคาโอะได้แต่ซุกหน้าลงกับเข่าด้วยความละอายใจ คางามิไม่ใช่คนที่เขาควรจะคิดถึงอีก
               
                “โอ๊ะ กี่โมงแล้วเนี่ย” ทาคาโอะอุทาน เงยมองนาฬิกาติดผนังแล้วร้องโวยวาย “ก...ใกล้จะแปดโมงแล้ว ยัยเบ๊อะ ทำไมไม่ปลุกพี่ฮะ!” ตะโกนเสียงดัง สักพักน้องสาวก็เปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้างัวเงีย
                “วันนี้วันหยุดของหนูนะ มันหน้าที่อะไรที่ต้องคอยมาปลุกพี่ด้วยเล่า!
                ทาคาโอะผุดลุกจากเตียง หมอนข้างผ้าห่มร่วงลงพื้นเพราะโดนเท้าเกี่ยวตกอย่างเร่งรีบ
                “ฝากเก็บด้วยนะน้องสาว” คว้าผ้าเช็ดตัว วิ่งเข้าห้องน้ำด่วนจี๋
                “หนูเป็นน้องพี่นะ ไม่ใช่คนรับใช้” เด็กสาวบ่น แต่ก็ยอมเก็บให้ เธอพับผ้าไปหาวไป สุดท้ายก็ล้มตัวลงนอนทับผ้าห่มที่ตัวเองพับ ทาคาโอะนุ่งผ้าออกมาจากห้องน้ำแล้วตกใจ เพราะเห็นน้องสาวยังอยู่ในห้อง
                “กลับห้องตัวเองไปสิยัยบ๊อง”
                น้องสาวงึมงำพลิกหนี ทาคาโอะจึงเปิดตู้คว้าชุดแต่งกายอย่างรวดเร็ว มองนาฬิกาเพื่อกะเวลาไปด้วย นาทีต่อมามิโดริมะโทรมาเร่งเขาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ทั้งยังบ่นเป็นชุดอีกต่างหาก ทาคาโอะกลอกตา รับคำส่งเดช ทำปากล้อเลียนไปด้วย อย่านึกว่าคบกันแล้วจะเข้ามาควบคุมชีวิตเขาได้ ไม่มีทางเสียหรอกเจ้าแว่น
                “ออกมาได้แล้ว ฉันรออยู่หน้าบ้านนาย”
                ทาคาโอะสะดุ้ง กรอกเสียงกลับไป “ก็ไหนว่าเจอกันที่สนามไงล่ะชินจัง” สะพายกระเป๋า กดเปิดแอร์อีกครั้ง ดึงผ้าห่มให้น้อง แล้วเดินออกจากห้อง
                “คาซุนาริ ไม่ทานข้าวเช้าก่อนหรอลูก” แม่ทักจากในครัว
                “เดี๋ยวผมหาทานระหว่างทางเองครับ”
                “ไปดีมาดีนะ” แม่อวยพร ทาคาโอะขานรับ ก่อนจะกดวางสาย เปิดประตูออกไปหาเจ้าของเสียงตัวจริงที่รั้งรอหน้ารั้ว มิโดริมะดูกังวลเล็กน้อย พอเห็นหน้าเขาก็ปรับบุคลิกให้ขรึม แต่ทาคาโอะแอบเห็นว่าแก้มขาวๆ นั้นแดงเรื่อขึ้นมา ทั้งยังขยับแว่นมั่วซั่วจนนิ้วทิ่มตาอีกต่างหาก
                “อุ๊บ ฮ่าๆๆ” ทาคาโอะหัวเราะอย่างเหลืออด “ชินจังซุ่มซ่าม”
                มิโดริมะหลบสายตา “มันเป็นอุบัติเหตุต่างหาก” ดันแว่นด้วยนิ้วชี้แก้เก้อ แต่นิ้วดันสอดเข้าไปใต้แว่นทิ่มตาอีกที เด็กหนุ่มผมเขียวหน้าแดงแป๊ด น้ำตาซึม ทาคาโอะกลั้นขำ ตบไหล่ร่างสูงเป็นเชิงปลอบใจ
                “ทาคาโอะ...”
                เรียกรั้งไว้เมื่อทาคาโอะดูนาฬิกา แล้วทำท่าจะวิ่งนำไปก่อน “ชินจัง ถ้าไม่รีบเราจะสายเอานะ”
                “ฉันเจ็บตา”
                ทาคาโอะหันกลับมา คิดว่าน่าจะเพราะความเปิ่นเมื่อครู่นี้ “ไหน ดูซิ” ทาคาโอะถอดแว่นมิโดริมะออก “ก็ดูไม่ผิดปกติอะไรนะ อืม...แต่ว่ามีฝุ่นเกาะขนตาล่างนายอ่ะ ให้หยิบออกให้ไหม”
                “ไม่ต้อง”
                ทาคาโอะพยักหน้า “โอเค จะหยิบออกเองใช่ป่าว เอากระจกไหม” รื้อช่องเล็กของกระเป๋า แต่มิโดริมะจับข้อมือทาคาโอะ แล้วดึงเข้ามาจนชิดใกล้
                “เป่าให้หน่อยสิ”
                “อะไร จะเลียนแบบซีรีย์เกาหลีหรอ” ทาคาโอะหยอกล้อทั้งที่เริ่มเขินขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่นึกว่ามิโดริมะยามหายซึนจะรุกแบบไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าแบบนี้
                “เร็วเข้า ไม่งั้นสายนะ” มิโดริมะเร่ง ทาคาโอะถอนใจบ่นอุบ “ถ้างั้นก็ก้มลงมาหน่อย”
                “เขย่งเอาสิ”
                “ชินจัง!
                มิโดริมะยักคิ้ว ดูเจ้าเล่ห์แสนกลจนน่าหมั่นไส้ ทาคาโอะจำใจเขย่งปลายเท้า เอื้อมมือประคองใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายไว้ แล้วดึงให้โน้มลงมา
                “แถมน้ำลายด้วยดีมั้ยเนี่ย”
                “อย่าเชียวนะ” มิโดริมะเอ็ดเสียงขุ่น
                “คร้าบๆ เอ้า ฝุ่นจงหายไป ฟู่ววว”
                มิโดริมะยิ้มขัน ทาคาโอะเองก็ขำ ทว่าเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว

            ว่าง่ายดีนี่นา
                คางามิย่อเง่าคุยกับเขา แล้วทาคาโอะก็เถียงอย่างอายๆ ว่า ให้ก้มก็พอ ไม่ต้องงอเข่า

                “ไปกันเถอะ ทาคาโอะ” มิโดริมะยื่นมือให้ “เร็วสิ”
                ทาคาโอะยิ้มและคว้าจับมือเรียวข้างนั้น แกว่งไปมาพลางเงยหน้ายิ้มแย้มให้คนรัก มิโดริมะเองก็คลี่ริมฝีปากอ่อนโยนกลับมาเช่นกัน ทว่าไม่นานหลังจากนั้น...ทาคาโอะก็เผลอคลายมือลง

                 
                แมตวันนี้เป็นศึกชี้ชะตาระหว่างเซย์รินกับราคุซัน
                ทาคาโอะนั่งอยู่ข้างมิโดริมะ เขาหันไปยิ้มพะเน้าพะนอรุ่นพี่มิยาจิที่กำลังบ่นเป็นไฟว่าเขามาสายไปห้านาที ส่วนมิโดริมะไม่ได้สำนึกผิดเลย เด็กหนุ่มจ้องเขม็งลงไปยังสนามที่ว่างเปล่าอยู่ เสียงเชียร์กระหึ่มขึ้นเมื่อกลุ่มชายชุดขาวฟ้าเดินออกมาจากฝั่งตรงข้าม นำโดย อาคาชิ เซย์จูโร่ อดีตกัปตันทีมปาฏิหาริย์ และกระหึ่มอีกรอบแม้จะเบากว่า เมื่อทีมเซย์รินเดินออกมา คางามิยืนหันหลังให้ทางนี้อยู่ ร่างสูงใหญ่กำลังวอร์มร่างกายและถกเถียงกับคุโรโกะ ทาคาโอะใจหายวูบเมื่อคางามิหันมายิ้ม โบกมือ เกือบจะนึกว่าโบกมือให้เขาเสียอีก ถ้าไม่หันไปเห็นฮิมุโระที่นั่งถัดลงมาไม่ห่างนักกำลังโบกมือเชียร์อยู่
                เขาเผลอกำชายเสื้อแน่น
                ความรู้สึกนี้มันอะไรกันหรอ?
                ทาคาโอะแตะแขนมิโดริมะ แล้วแกล้งไถหัวใส่ เลยโดนยันหน้าผากสวนมา ทาคาโอะหัวเราะ นี่ต่างหากคนที่ทาคาโอะรัก

               
                “คางามิคุง การแข่งจะเริ่มแล้วนะครับ” คุโรโกะเรียกคู่หูซึ่งยืนเหม่อมองขึ้นไปบนอัฒจรรย์
                ฮิวงะเรียกรวมพล พวกเขากอดคอกันพร้อมร้องปลุกใจเสียงดังลั่น คางามิพยายามไม่คิดถึงภาพของทาคาโอะ เขามองหาฮิมุโระบนที่นั่ง ไม่ได้ตั้งใจจะเห็นทาคาโอะเสียหน่อย
                “มีสมาธิหน่อยครับ ศึกนี้สำคัญกับพวกเรามากนะครับ” คุโรโกะเตือนสติ คางามิจึงสลัดความว้าวุ่นออกไปจากหัวก่อน เด็กหนุ่มปิดเปลือกตาลง ก่อนจะเปิดขึ้นด้วยสายตามุ่งมั่น บรรจุด้วยเปลวไฟแห่งความหวัง เขาคือเอซ เขาแบกรับความหวังของทีมเอาไว้ คางามิก้าวเข้าสู่สนาม ส่งสายตาท้าทายไปยังฝ่ายตรงข้าม เสียงนกหวีดดังขึ้น


                ใจของทาคาโอะติดตามจังหวะลมหายใจของคางามิที่โลดแล่นไปทั่วสนาม มิโดริมะตั้งใจดูเกมการแข่งขันนี้มาก โดยพุ่งเป้าความสนใจไปที่อาคาชิ แม้ทาคาโอะจะสนใจสกิลที่พัฒนาขึ้นของเงาแห่งเซย์ริน ทว่าทุกครั้งสายตาของเขามาหยุดอยู่ที่คางามิ เพราะฮอว์กอายทำให้เห็นชัดกว่าคนทั่วไป เห็นไปถึงความรู้สึกที่แสดงออก ไม่ว่าคางามิจะสนุกสนาน หรือเคร่งเครียด ทาคาโอะเอาใจช่วยคางามิสุดแรง
                กาลเวลายืดยาวหน่วงความรู้สึก ผลัดกันเพลี่ยงพล้ำ แต่ราคุซันก้าวนำเสมอ
                บอลจากมือคางามิลงห่วงไปอีกลูก ทาคาโอะถอนหายใจ หัวใจเต้นราวจะทะลุจากอก
                กลยุทธ์สำคัญ แต่ไม่มากเท่าแรงใจ เซย์รินเหมือนปลาเกยน้ำตื่นที่กำลังดีดดิ้นหาทางลงน้ำให้ได้ ทาคาโอะกลัวเหลือเกินว่าเซย์รินจะพ่าย ทว่าลึกๆ นั้นเขามั่นใจว่าคางามิจะไม่แพ้
                เกมพลิกกลับในช่วงก่อนหมดเวลา เสียงเชียร์ฝ่ายเซย์รินเริ่มดังกลบฝ่ายราคุซัน ทาคาโอะถึงกับร่วมเชียร์ไปด้วย มิโดริมะมองเขาแวบหนึ่ง แล้วสังเกตการณ์ในสนามต่อ ทั้งสองฝ่ายปลดล็อกตัวเองออกจากปัญหาที่เผชิญแต่หนหลัง นำจิตวิญญาณเข้าต่อกรกันจังๆ ทาคาโอะมองตามแผ่นหลังของคางามิที่กระทบแสงไฟในสเตเดี้ยม เจิดจรัส สว่างจ้า
                “รู้ผลแล้วล่ะ” มิโดริมะกล่าว เสียงบอลสุดท้ายลงห่วงไป กระดอนตกลงบนพื้น

                กองเชียร์ฝั่งเซย์รินโห่ร้องด้วยความดีใจ



                หน้าตาแต่ละคนดูไม่ได้เลย คางามินึก เขาเองก็ต้องเช็ดน้ำตาไปด้วย ทั้งที่ตัวเองไม่ใช่คนที่ร้องไห้ง่ายๆ แต่ความพยายามทั้งหมดของพวกเขาสัมฤทธิ์ผลแล้ว ชัยชนะจากความมุ่งมั่นตั้งใจช่างหอมหวานและงดงามยิ่งนัก อีกประเดี๋ยวจะมีพิธีมอบรางวัล คุโรโกะกำลังคุยกับอาคาชิที่ดวงตากลับเป็นสีแดงทั้งสองข้างแล้ว คางามิดีใจที่คุโรโกะปลดความหนักอึ้งในอดีตลง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอัฒจรรย์ เขากำลังจะชูมือให้ฮิมุโระ แต่ตอนนั้นเองเขาเห็นทาคาโอะจ้องมาที่เขา แล้วยกนิ้วโป้งให้พร้อมกับยิ้มกว้าง หัวใจของคางามิเต้นกระหน่ำ คางามิก้มหน้าลงหัวเราะ ก่อนจะชูนิ้วโป้งขึ้น ทั้งอัฒจรรย์ส่งเสียงยินดี
                พวกเขาอยู่ห่างกันพอสมควร คางามิอยู่ในสนาม ทาคาโอะอยู่บนที่นั่ง ความเชื่องช้ามาเยือนดึงเอาความสดใหม่ออกไปจากบรรยากาศ สภาพแวดล้อมคล้ายจะหยุดนิ่ง เหลือเพียงแค่คางามิกับทาคาโอะเพียงสองคน วันคืนสั้นกระชับหวนเป็นมโนภาพชัดเจนยิ่ง วิ่งวนอยู่รอบกายเหมือนสายลมแผ่ว เวลากลับมาหมุนอีกครั้งตอนที่ฮิมุโระลงไปหาคางามิ และมิโดริมะแตะไหล่ทาคาโอะให้ลุกตามรุ่นพี่ออกไป
                ทาคาโอะได้ยินเสียงทำนองเพลงมอบรางวัล เขาเดินตามมิโดริมะจนกระทั่งถึงทางออก นอกสนามกีฬา ฝนเริ่มพร่างพรม
                และหยาดฝน...ก็หล่นจากดวงตา

                ทาคาโอะรู้ทันทีว่า...ไม่สามารถก้าวตามมิโดริมะได้อีกแล้ว...


               
                คางามิแยกตัวจากคนในทีม ฮิมุโระกำลังรอเขาอยู่ แต่ขาสองข้างเริ่มหนักจนก้าวได้ช้าลง เหมือนมีหินถ่วงรอบข้อเท้า ฮิมุโระจึงลงมาหาเอง
                “ข้างนอกฝนตกแน่ะ ได้เอาร่มมามั้ย” ฮิมุโระถาม คางามิกำลังจะบอกว่าเอามา แต่ความคิดเขาแล่นไปยังคนที่หายไปจากสายตา
            ฝนกำลังตกหนัก ทาคาโอะจะเอาร่มมาไหมนะ...
                ทางกลับของทีมอยู่คนละทาง เซย์รินกับชูโตคุอาจจะได้เดินสวนกันผ่านสายฝนอีกรอบ คราวนี้จะเป็นยังไงหรอ? ภาพที่คางามิเห็นจะไม่ใช่ทาคาโอะที่เดินแอบซ่อนน้ำตากลางฝนอีกแล้ว เขาสงสัยว่าตัวเองจะรู้สึกอย่างไรหากเห็นทาคาโอะหยอกล้อกับมิโดริมะกลางฝน จะเป็นอย่างไรหากเห็นว่าทาคาโอะไม่ได้เศร้าอีกต่อไป

                เพราะเรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นจากฝนที่หล่นจากดวงตา หากทาคาโอะมีความสุขกับมิโดริมะแล้ว ฝนคงไม่ตกอีก

                “ไทกะ...” ฮิมุโระกำลังรออยู่ คางามิเงยขึ้นมอง...ด้วยความรู้สึกผกผันไม่เหมือนเดิม
                “ทัตสึยะ...ฉัน”
                ฟ้าผ่าครืนลงมาอีกครั้ง พร้อมกับความเข้าใจในทันทีของฮิมุโระ เขาสังเกตคางามิกับทาคาโอะ ตั้งแต่วันที่เขาไปหาคางามิที่อพาร์ตเม้นต์แล้ว ลึกๆ ฮิมุโระรู้ ตอนที่คางามิกลับมาช่วยเขาจัดโต๊ะอาหาร เศษเสี้ยวแสงสว่างหายไปจากดวงตาและใบหน้า เหมือนว่าทาคาโอะดึงเอามันติดตัวไปด้วย
                ฮิมุโระพยักหน้าเข้าใจ เขาไม่อยากหลอกตัวเองอีกครั้ง จึงจุดยิ้มละไมให้แม้จะดูเศร้าสร้อยก็ตาม
                “ไปเถอะ...”
                คางามิถึงกับตัวสั่น เขาดึงร่างของพี่ชายเข้ามากอด ฝังหน้าลงกับบ่าที่เล็กกว่า ฮิมุโระลูบแผ่นหลังของน้องชายตัวโต เขารู้ว่าบ่ากำลังเปียก แล้วก็รู้ว่าทำบ่าของคางามิเปียกเช่นกัน
                คางามิผละออกจากเขา ฮิมุโระกลับเป็นพี่ชายใจดีในวัยเด็กอีกครั้ง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับใต้ตาน้องชายให้
                “ไม่ว่ายังไง...ในฐานะพี่ชาย ฉันก็อยากเห็นน้องชายมีความสุขนะ”
                “ฉันรักนาย ทัตสึยะ” คางามิกล่าว ฮิมุโระกลั้นน้ำตาไว้ ฝืนยิ้มสุดความสามารถ
                “ฉันรู้...ฉันก็รักนาย”


                ฮิมุโระเกือบจะทรุดลงตอนที่คางามิวิ่งออกไปแล้ว แต่มีใครบางคนประคองเขาไว้
                มุราซากิบาระถอดแจ็กเก็ตคลุมศีรษะเขา
                “อัตสึชิ...”
                “เงียบน่า” เด็กหนุ่มผมม่วงเอ็ดเสียงเบา เขาวางมือลงบนศีรษะคนอายุมากกว่า แล้วโยกคลอนเบาๆ


                ฝนกำลังตกหนัก คางามิวิ่งออกไปกลางสายฝน มองซ้ายขวา แลเห็นเครื่องแบบสีส้มของชูโตคุจึงวิ่งเข้าไปคว้าไหล่ใครคนหนึ่ง
                มิโดริมะผลักเขาออก ดวงตาหลังกรอบแว่นชืดชาจนน่าเวทนา
                “มิโดริมะ?
                มิโดริมะถอนหายใจ กลืนน้ำลายเหมือนกำลังกล้ำกลืนอย่างอดทน
                “ไม่ใช่ทางนี้”
                “หือ?
                “ทาคาโอะไม่ได้อยู่ทางนี้ รีบไปซะก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”
                “เดี๋ยวสิ...ไม่ใช่ว่านายกับหมอนั่น...”
                “เลิกกันเมื่อกี้”
                “หา?
                “ถ้าให้พูดซ้ำอีกรอบฉันจะต่อยนาย ไปให้พ้นตาฉันซะเจ้าบ้า” โบกมือไล่ คางามิไม่มีเวลาโกรธเคือง เขาหันหลังกลับ แต่มิโดริมะเรียกรั้งไว้อีกครั้ง
                “อย่าทำให้ทาคาโอะเสียใจเหมือนฉัน”
                คางามิพยักหน้า รับปาก มิโดริมะสูดลมหายใจก่อนจะเอนพิงผนังตึก คางามิเบือนหันไปทิศตรงข้าม


                เราไม่ได้โหยหาช่วงเวลาหนึ่งที่เรามีร่วมกัน
                แต่เราโหยหาช่วงเวลาหลังจากนั้นที่เราอยากจะมีเมื่ออยู่เคียงข้างกันต่างหาก ไม่ว่ามันจะเรียกว่ารักหรืออะไรก็ตามที

                ปลายสุดของทางเดินระหว่างตึก ท่ามกลางม่านฝน  ทาคาโอะยืนอยู่ไม่ไกล

                ไม่มีคำพูดใดนอกจากน้ำตา และอ้อมกอดแห่งความไม่คาดฝันที่กาลเวลาโคจรมาพบกัน





----------------------------------------------END---------------------------------------------








Under the red umbrella

'ไม่ว่าฝนจะตกอีกกี่ครั้ง จงจำไว้ว่าร่มคันนี้จะกันฝนให้นายเสมอ'



credit : แฟนฟิคผู้น่ารักท่านหนึ่ง







---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

               
                ทุกคนต่างมีความเจ็บปวดที่ต้องแบกรับ และยอมรับความผิดหวัง เพื่อดำเนินชีวิตต่อไป ตอนแรกเราไม่ได้กะให้สองคนนี้ลงเอยกันเลย แต่แต่งๆ อยู่ ตัวละครไหลไปตามทางของมันเองจนเราฉุกคิดได้ว่า บางที จะเป็นความรักหรือไม่ ก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าความจริงที่ปรากฏ ณ ขณะนั้น ความผูกพันกับระยะเวลาอันฝังใจ ไม่ได้ตัดสินทุกสิ่ง ไม่ได้ตัดสินว่าสุดท้ายแล้วหัวใจของเราเลือกใคร ตอนแรกเรากะจบแบบเพลง เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว ผ่านเลยไปและไม่เคยจะกลับมา เป็นแค่ความประทับใจที่ยังคงแน่นหนา มีแต่ฝนมีแต่ฟ้าที่เข้าใจ...เพลง stay ค่ะ  ฮ่าๆ แต่มาย้อนๆ ดูแล้ว ระหว่างสองคนนี้มันลึกซึ้งกว่านั้น แล้วก็...โป๊ะ นี่ล่ะค่ะ แต่งๆ อยู่ คางามิ กับทาคาโอะคิดถึงกันเฉย ก็วิ่งกลับมาหากันเฉยเลย...ไม่รู้มีใครผิดหวังตอนจบบ้างไหม แต่เรื่อง Rain in your eyes ก็จบลงแล้วค่ะ (ถึงแม้จะสงสารมิโดมากก็ตาม)
                ปล.มีใครสังเกตบ้างไหมคะ คางามิไม่เคยคิดหยุดฝนในดวงตาของทาคาโอะเลย แต่เช็ดออกให้เมื่อมันไหลออกมา


                ขอบคุณผู้ที่ติดตาม ทั้งที่คอมเม้นให้กำลังใจเราแบบลับๆ และผู้ที่ตามอ่านเงียบๆ ค่ะ