วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

Fanfic Gintama [Hijikata x Gintoki] : ว่าด้วยเรื่องฟิค และคู่จิ้น




Short fiction  : ว่าด้วยเรื่องฟิค และคู่จิ้น
Author : froridy
Relationships : Hijikato Toshiro x Sakata Gintoki
Fandom  : Gintama
Warning  : Yaoi
Note : เกรียนและบ้าไปตามประสา
Summary: คอนโดจัดงานประกวดการแข่งขันแต่งฟิคชั่นขึ้นในหน่วยชินเซ็นกุมิ และกินโทกิไปเป็นกรรมการตัดสิน




“นั่นคุณกินกำลังทำอะไรน่ะครับ” ชินปาจิถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นนายจ้าง (ที่ไม่เคยจ่ายเงินเดือน) กำลังขะมักเขม้นอยู่กับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เลื่อนเม้าท์อ่านตัวอักษรบนจอแล้วครางออกมาอย่างรับไม่ได้
“ให้ตายเถอะ ฉันล่ะไม่เข้าใจพวกสาววายจริ๊งจริง”
“อะไรล่ะครับ เกี่ยวอะไรกับสาววายล่ะครับ อย่าบอกนะว่าคุณกินอ่านฟิคอยู่...” ทำหน้าเคลือบแคลงสงสัยปนขยะแขยง “ผมไม่นึกเลยว่าคุณกินจะมีรสนิยมเสพของแนวนี้ด้วย”
“จะบ้าเราะ ฉันก็แค่สงสัยว่าทำไมมันเป็นที่นิยมกันจัง”
“มันก็เป็นประโยชน์กับธุรกิจของเราเหมือนกันน่อ ต่อไปเราก็จัดมีตติ้งคู่จิ้นฮิจิกินซะเลยน่อ” เด็กหมวยเสนอความเห็น     ชินปาจิทวนคำว่า ฮิจิกินช้าๆ แล้วเบิกตาโต ในขณะที่กินโทกิสำลัก
“ก็แล้วทำไมต้องฮิจิกินด้วยฟะ?
“ก็ลื้ออ่านคู่ฮิจิกินอยู่นี่ เห็นอ่านมาสิบกว่าเรื่องละ ติดใจอะไรน่อ...อ่อ สงสัยอยากเป็นเค
กินโทกิเอามืออุดปาก “หยุดพล่ามซะทีหล่อน จะว่าไป...แกว่าฉันรูปร่างเป็นยังไง” หันไปถามชินปาจิ ซึ่งขมวดคิ้วยุ่งๆ ใส่กองผ้าอยู่ แถมยังคิดว่าคำถามของนายจ้างหัวหยิกนั้นไร้สาระมาก
“ก็...” พิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ก็ตัวสูงปานกลางครับ หุ่นพอดีๆ มีกล้าม ถึงตอนนี้จะแอบอ้ว--
“พอๆ” ไอ้แรกๆ ก็ดีใจอยู่หรอก แต่คำหลังแม้ยังพูดไม่ครบคำ เขาก็เดาออกว่ามันเป็นคำที่หญิงสาวทั่วโลกผลักไล่ไส่ส่ง “ให้เลือกระหว่างหนากับบาง หุ่นฉันอยู่ฝั่งไหน”
“อา...” รู้สึกปวดหัวตงิดๆ แต่ก็ยอมตอบให้อีกฝ่ายสบายใจ จะได้หยุดถามบ้าๆ เสียที “ไม่หนาไม่บางครับ แต่ถ้าให้เลือกอย่างเดียวก็ค่อนไปทางหนา”
“เห็นมะ!” ตบโต๊ะผาง มืออีกข้างปล่อยคางุระที่สำลักไอโขลก “ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมในฟิคฉันถึงกลายเป็นร่างบางไปได้ บางตรงไหน เนี่ย ดูกล้ามฉัน” พยายามอวดเบ่งเต็มที่ ชินปาจิส่ายหน้า
“อาจจะเป็นคำเรียกแทนตำแหน่งเฉยๆ ก็ได้นะครับ อย่าไปคิดมากเลย”
“คำอื่นก็มีให้ใช้ตั้งเยอะแยะ ร่างสูงสมส่วนเงี้ย กินโทกิสุดหล่อไรเงี้ย” บ่นกะปอดกะแปด
“คำหลังไม่ใช่น่อ อากินจัง”
“เงียบปากไปยัยหมวย”
“คนบ้าน้ำตาลหัวหยิกเหมือนฝอยขัดหม้อ...” ชินปาจิแอบแต่งคำแทนสถานะให้โดยเอ่ยเบาๆ แต่โชคร้ายกินโทกิได้ยิน แคนดี้แท่งหนึ่งถูกปาใส่หัวเขาอย่างจัง
                “โอ้ย”
“นี่ด้วยๆ หน้าสวยหวานเนี่ย สวยตรงไหน ฉันรับม่ายด้ายยย”
“ใช่แล้วน่อ บรรยายว่าไอ้ถึกหน้ามึนเหมือนปลาตายยังจะตรงกับความจริงเสียกว่า”
“สุดหล่อต่างหากเฟ้ย! บรรยายว่าสุดหล่อสิฟะ”
“ดูเหมือนว่าคุยเรื่องสนุกๆ กันอยู่สินะครับลูกพี่” โอคิตะเลื่อนประตูหน้าสำนักงาน ทักทายด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดา แต่แววตามีเลศนัยน์
จะโผล่หัวมาทำไมตอนนี้วะ...
“มาทางไหน ไสตูดกลับไปทางนั้นเลยอาตี๋” คางุระไล่ เขวี้ยงขนมในจานของนายจ้างใส่เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักซึ่งหลบหลีกอย่างว่องไว แล้วกระโดดตัวลอย โจมตีใส่เด็กสาวด้วยท่าทางที่ไม่น่ารักเหมือนหน้าตา
“พอๆ ร้านฉันพังหมดแล้ว มีอะไรก็ว่ามา” กินโทกิรีบห้ามทัพ พยักเพยิดให้ชินปาจิล็อคแขนคางุระไว้สุดแรง
โอคิตะปัดฝุ่นที่เลอะจากการต่อสู้เมื่อครู่ออกจากชายเสื้อ “ผมเอางานและเงินมาให้ลูกพี่ครับ”
คำว่าเงินทำให้กินโทกิลืมความหงุดหงิดจากฟิควาย และเหตุการณ์เมื่อครู่ไปได้บ้าง
“งานอะไร ว่ามา”
“พอดีว่าหน่วยชินเซ็นกุมิจะเขียนฟิคประกวดกันน่ะครับ เป็นกิจกรรมเสริมสร้างจินตนาการ ความบันเทิง และความสามัคคีที่คุณคอนโดคิดขึ้น โดยมีกติกาว่าให้นำสมาชิกในหน่วยหรือคนรู้จักสนิทสนมกันดี เช่น พวกลูกพี่ พวกอาเจ๊โอทาเอะ โยชิวาระ เป็นต้น มาเขียนเป็นฟิคโดยจะผูกพล็อตแบบไหนก็ได้ และกรรมการตัดสินผู้ชนะในครั้งนี้ก็คือลูกพี่ครับ”
“หา?” อ้าปากพะงาบๆ “ให้ฉันไปเป็นกรรมการตัดสินฟิคของพวกตำรวจเนี่ยนะ”
“ใช่ครับ เงินดีนะ แต่ถ้ารุ่นพี่ไม่สนใจ...”
“เดี๋ยวๆ ฉันยังไม่ได้ปฏิเสธเว้ย ว่าแต่ทำไมต้องเป็นฉันวะ”
โอคิตะทำหน้าซื่อ เอานิ้วชี้ขึ้นจุ๊ปาก “อย่าเอะอะไปนะครับลูกพี่ พอดีลูกพี่เป็นตัวละครที่ถูกนำไปเขียนฟิคเยอะที่สุดเลยน่ะ”
“หา? ฉันเนี่ยนะ คงไม่มีใครบ้าเอาฉันไปเขียนคู่กับไอ้บ้ามายองเนสนั่นนะ...”
“โอ้ นั่นล่ะครับ คู่ยอดนิยมเลย ฮิจิกิน กินฮิจิ บางทีมีการผนวกผมเข้าไปด้วย เป็นสามพีเลยก็มีครับ”
กินโทกิทำหน้าแหยง สักครู่ต่อมาเขาก็ถอนหายใจ “ประกวดกันวันไหนน่ะ”
“อีกยี่สิบนาที รีบไปถึงก่อนตัดริบบิ้นเปิดงานดีกว่าครับ”



และกินโทกิก็ซ้อนมอเตอร์ไซด์หัวหน้าหน่วยที่หนึ่งมาจนถึงชินเซ็นกุมิ เดินตามเด็กหนุ่มเข้าไปที่ห้องประชุมใหญ่ตำรวจทุกคนในหน่วยนั่งหน้าถมึงทึงอยู่ตรงโต๊ะเล็กแบบตั้งพื้น บนโต๊ะมีแล็บท็อป รองหัวหน้าหน่วยก็นั่งอยู่ในบรรดาคนเหล่านี้เช่นกัน โอคิตะเองก็ไปนั่งประจำตรงโต๊ะที่ว่าง เขาต้องร่วมแข่งขันด้วยตามกฎ
“แหม...ความจริงฉันก็อยากแต่งฟิคคอนโดโอทาเอะบ้างจังเลยน้า...แต่เอาเถอะ วันนี้ฉันเป็นพ่องาน กฎกติกาไม่มีอะไรมาก แค่คิดเอง แต่งเอง ห้ามลอกคนอื่น ตัวละครมาจากคนในหน่วยไม่ก็คนที่สนิทสนมกับหน่วย เสร็จแล้วเซฟส่งมาที่อีเมลล์ที่วางอยู่บนโต๊ะ” กินโทกิเหลือบตามองกระดาษแผ่นเล็กๆ ตรงมุมโต๊ะขวามือของผู้เข้าแข่งขัน “มันจะถูกส่งเข้าที่คอมตรงหน้ากรรมการผู้ตัดสิน เอาล่ะ ขอเปิดการแข่งขันเพื่อความบันเทิง ณ บัดนี้”
คอนโดหยิบสายริบบิ้นมาตัดอย่างไม่ลงทุน กินโทกิเห็นฮิจิคาตะถอนหายใจ ก่อนจะเริ่มพิมพ์ต๊อกแต๊กบนแป้นคีบอร์ด ตรงหน้ากินโทกิเองก็มีคอมพิวเตอร์เช่นกัน เขาแค่รอให้มีอีเมลล์ส่งเข้ามา อ่านแล้วให้คะแนน คนที่ได้คะแนนจากเขามากที่สุดเป็นผู้ชนะ และมีเงินรางวัลจำนวนหนึ่งซึ่งสบทบทุนโดยป๋ามัตสึไดระจัดเตรียมไว้ให้
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง กินโทกิหาวหวอด ยังไม่มีอีเมลล์ส่งเข้ามา
สิบนาทีต่อมาอีเมลล์ฉบับแรกเด้งขึ้น คอนโดทิ่มเอวของคนผมเงินให้ลืมตาขึ้นดูความเคลื่อนไหว

“อะไรวะเนี่ย? คอนโด x มาดาโอะ คู่ -ตื้ด- อะไรวะเนี่ยยย”
“อย่าดูถูกคู่ชิปของคนอื่น” คอนโดเตือนเสียงขรึม
เดี่ยวนะ...ทำไมแกทำหน้าดีใจที่มีคนเอาแกไปจิ้นกับไอ้มาดาโอะฟะ?!
“มัตสึไดระ x คอนโด โอ้โห...ล้ำ” กินโทกิพึมพำ คอนโดบิดไปบิดมาอย่างเขินอาย “เราก็แค่รักกันเหมือนพ่อลูกเท่านั้นแหละตัวเอง...”
กินโทกิกลอกตา เอานิ้วแคะหูไม่ยี่หระ
“โอคิตะคางุระ  แหม...มีคนจิ้นเจ้าพวกนี้ด้วยแฮะ ยัยตัวร้ายกับนายซาดิสเราะ ชื่อเกาลี้เกาหลีว่ะ”
อ่านสามเรื่องแรกแล้วส่ายหน้า สำนวนการเขียนเรียงอักขระแทบไม่รู้เรื่อง
เรื่องถูกส่งมาเรื่อยๆ คาซึระ ทากาสึงิ ก็มากับเขาด้วย มีฮิจิกินกับกินฮิจิค่อนข้างเยอะในปริมาณเท่าๆ กัน อันที่จริงกินโทกิพอใจกับคู่กินฮิจิมากกว่า เขาได้เมะใส่ไอ้บ้ามายองเนสนั่น ได้อยู่เหนือมันเว้ยย
แต่ด้วยความจำใจยุติธรรม เขาจึงต้องเปิดอ่านคู่ฮิจิกินด้วย
“โหย นี่ฉันบอบบางขนาดโดนไอ้บ้านั่นข่มเหงเลยเราะ” พึมพำอย่างไม่พอใจสุดขีด ปิดและกดเปิดเรื่องใหม่
“ค่อยๆ ควักลูกตา เหยียบขยี้เละติดพื้น เอาขวานจามหัวแบะ ...ของเจ้าเด็กซาดิสนั่นแหงๆ”
เลื่อนมาจนถึงอีเมลล์ฉบับสุดท้าย เขารีบกดอ่านให้ผ่านๆ ไปเสียที จะได้ตัดสินให้เสร็จ
“ความในใจที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย...ฮิจิกิน คู่นี้อีกแล้วหรอ ให้ตาย” บ่นพึมพำ จะว่าไปสำนวนการเขียนก็ใช้ได้แฮะ


เป็นความรู้สึกที่ผมบรรยายออกมาได้เพียงสั้นๆ อันที่จริงผมไม่อยากจะเอ่ยออกมาด้วยซ้ำ แต่เพราะผมไม่รู้ว่าจะสื่อไปถึงหมอนั่นยังไง
อาจจะน่ารักคาญไปบ้าง แต่ถ้าคุณช่วยรับฟังสักนิดก็คงจะดี...
แรกพบผมเกลียดหมอนั่น เจ้ายาจกหน้าปลาตายตาแดงผมเงิน ไม่มีอะไรทำให้ผมรู้สึกดีสักนิด
แต่หมอนั่นเก่ง...และผมขอสารภาพอย่างคับแค้นใจว่าผมเคยแพ้หมอนั่นในดาบเดียว
อดีตชิโรยาฉะแห่งกองทัพอสุรา...ฟังดูเท่ใช่มั้ยล่ะ แต่ตอนนี้หมอนี่ก็เป็นแค่ตาลุงแก่ๆ บนชั้นสองของบาร์เท่านั้นแหละ วิ่งทำงานสารพัดจ้างงกๆ ได้เงินมาก็ไปเสียให้ของไร้สาระหมด โดยเฉพาะน้ำตาลบ้าๆ กินเข้าไป ขอให้เป็นโรคเบาหวานตายเถอะ


“ไอ้นี่มันด่าฉันเยอะจังเฮ้ย” กินโทกิบ่น แต่เขาก็ยังคงอ่านบรรทัดต่อไป


จะว่าไปผมก็ร่วมฝ่าฟันกับหมอนั่นมาเยอะเหมือนกัน ไม่รู้เพราะเราจ้างมันมาทำงานบ่อย หรือเพราะมันมีนิสัยขี้เสือกกันแน่


“ไอ้บ้านี่...อย่าให้รู้นะว่าเป็นใคร” กินโทกิคาดโทษ และอ่านต่อ


อ่า...รู้ตัวอีกทีผมก็ตกหลุมรักกินโทกิไปแล้ว


กินโทกิสะดุ้ง เขารู้สึกหน้าร้อนๆ  เดี๋ยวนะ ทำไม่ต้องเขินด้วยเนี่ย! ก็แค่ฟิคๆ


ผมเตือนตัวเองหลายครั้งว่ามันเป็นผู้ชายตัวเท่าๆ กับผม หน้ามึนๆ ถึงแม้ตอนมันกลายเป็นผู้หญิง (และผมกลายเป็นหมูตอน) มันจะสวยน่ารักชนิดที่ชายทุกคนต้องเหลียวมองก็ตาม (แต่ขอโทษทีที่ตอนนั้นผู้ชายก็กลายเป็นกะเทยกันทั้งเมือง เลยไม่มีใครสนใจมัน) โอเค มันเป็นผู้ชาย เป็นซามูไรขี้เกียจ กวนประสาท หน้าด้าน เกรียนแตก ...แต่
ผมก็ตกหลุมรักกินโทกิไปแล้ว ขอยืนยันคำเดิม
ผมชอบเขาไม่ว่าจะตอนทำตัวบ้าบอ (แน่นอนว่าผมเก๊กสีหน้าบึ้งตึงแทบแย่ จริงๆ ผมอยากยิ้มให้มากๆ เลยนะ)
ตอนที่อยู่กลางสนามรบ กวัดแกว่งดาบไม้
ตอนที่ท่องไปในย่านคาบูกิโจวอย่างคนไร้จุดหมาย
ตอนที่ถังแตก ต้องแต่งตัวเป็นกะเทยถึก
ตอนที่เถียงคำไม่ตกฟาก เวลาจับมันได้ทุกครั้งจากบ่อนพนัน
หรือตอนที่มาไถตังผมหน้าตาเฉย เพราะอยากกินขนมหวาน
ตอนที่โกรธ เคียดแค้น เศร้า เฉยเมย และมีความสุข
ผมรักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกินโทกิ
ผมอยากจะบอกให้เขารู้

กินโทกิ
.
.
.
ฉันรักนายนะ ไอ้บ้าหัวหยอง
จาก เทพเจ้าแห่งมายองเนส



กินโทกิเงยหน้าขึ้นจากคอม แก้มแดงเถือก มันเป็นแค่ฟิคใช่ไหม แค่ฟิคใช่ม้ายย
มีอีเมลล์ส่งเข้ามาอีกฉบับหนึ่ง ไม่ใช่ฟิคแต่อย่างใด


คบกับฉันนะ



ท่านรองปีศาจเองก็หน้าแดงเช่นกัน กินโทกิกระแอม เขาข้ามเรื่องนี้ไปก่อน แล้วประกาศผลตัดสินให้ฟิคคู่ยามาซากิ กับ ทามะ เป็นผู้ชนะ เพราะพล็อตดีสุด องค์ประกอบหรือภาษาสละสลวยสุด  คนเขียนซึ่งก็คือยามาซากิเอง ดีใจมาก เดินออกมารับรางวัลจากคอนโด
“หมดหน้าที่ฉันแล้ว กลับนะ” กินโทกิบอกลาคอนโด รับค่าจ้าง แล้วเดินจ้ำอ้าวออกไปจากห้องประชุม ฮิจิคาตะหน้าเสีย ทว่ากลับมีเมลล์ส่งเข้าโทรศัพท์มือถือเขาแทน

ไม่รู้จักคำว่าเป็นขั้นเป็นตอนรึไง ถ้าอยากจะคบต้องจีบก่อนเว้ย

ก็จำไม่ได้หรอกนะว่ามันมีเบอร์เขาได้ยังไง
แต่ตอนนี้หัวใจยิ่งกว่าพองโตอีกว่ะ





หลายวันต่อมาที่สำนักงาน กินโทกิกำลังท่องเว็บอ่านฟิคอยู่เช่นเคย
“อากินจัง มีดอกไม้ส่งมาอีกแล้วน่อ”
กินโทกิส่ายหน้า ตะโกนบอก “เอาไปขายต่อเลยยัยหมวย”
คางุระโผล่เข้ามาบอกด้วยน้ำเสียงล้อเลียนว่า “แต่คราวนี้คนส่งมาด้วยน่อ”
ร่างสูงในชุดเครื่องแบบของชินเซ็นกุมิก้าวเข้ามา หอบช่อดอกไม้ซึ่งทั้งช่อทำจากแบงค์พับเป็นดอกกุหลาบ

ไม่รู้เพราะอำนาจเงิน หรือความเนียนอะไรก็แล้วแต่ วันต่อมาคู่ฮิจิกิน ก็ไม่ได้เป็นเพียงคู่จิ้นอีกต่อไป





.................................................


แต่งคู่นี้แล้วรู้สึกได้เผยแพร่ความเป็นตัวเองชอบกลค่ะ รู้สึกเมาและมันส์
อยากแต่งคู่นี้มานานแล้วค่ะ วาดหวังไว้ให้เกรียนแบบแมนๆ
ตั้งแต่เล่นเว็บและลงฟิคในนี้ ช่างเงียบเหงาแตกต่างจากเว็บเด็กดีซะเหลือเกินค่ะ ฮ่าๆ
ขอให้บันเทิงเริงใจกับฮิจิกินนะคะ

@froridy



วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2559

Fanfic KNB [Kouta x Masaomi] : The Lion 1


Name  : The Lion

Author : froridy

Relationships : Furihata Kouta x Akashi Masaomi  /  [Hint : Akafuri]

Fandom  : Kuroko no basuke

Warning  : Yaoi

Chapter   : 1

Note : ว่าด้วยงานมโนขั้นสูงกับคู่ของพี่ชายฟุริและพ่อของอาคาชิค่ะ ชื่อพี่เราแต่งเองค่ะ เห็นในบอทชื่อโคจิ แต่เราจะไม่ใช่ชื่อนี้ งานมโนเอง ฮ่าๆ (พี่เมะพ่อเคะค่ะ)

Summary: ความรักทำให้คนธรรมดากระทำในสิ่งที่ไม่ธรรมดา

 

 


ฟุริฮาตะ โควตะ เพิ่งวางสายจากน้องชายที่โทรมาจากโตเกียวด้วยเสียงตื่นเต้นว่า สอบติดมหาวิทยาลัยแล้ว อยู่ในโตเกียวนั่นแหละ แต่ไกลบ้าน จึงต้องออกมาหาหออยู่ พอถามไปว่าได้ห้องหรือยัง น้องชายตัวดีก็อ้อมแอ้มตอบว่าได้เป็นบ้านพักสองชั้นแทน
“จ่ายไหวหรอ” เขาถาม เกือบจะเห็นภาพใบหน้าตื่นตูมของน้องชายส่ายพรืด
“เอ้อ ก็ ผมไม่ได้จ่ายเอง จะว่าไงดี...จริงๆ ผมก็อยากจ่ายเองนะพี่ แต่อาคา...ผมหมายถึงเซย์จูโร่ไม่ยอม”
นั่นไง
โควตะยิ้มขำ เซย์จูโร่ที่ว่านั่นคือแฟนหนุ่มของน้องชายที่มีฐานะร่ำรวยระดับอภิมหาเศรษฐี ตอนแรกที่รู้ว่าน้องมีแฟนเป็นผู้ชาย เขารู้สึกประหลาด แต่ใช่ว่าจะยอมรับไม่ได้ แถมแฟนหนุ่มนั่นก็ใช่คนธรรมดาเสียที่ไหน ขืนไปขัดขวางด้วยความรักที่มีต่อน้องชาย เขาได้โดนความรักของหมอนั่นซัดกลับพร้อมเงินตราและอาวุธแน่ๆ
อันที่จริงแล้ว โควตะไม่คิดมากหรอกว่าน้องจะชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย เขาไม่ได้หัวเก่าขนาดนั้น ทุกคนมีเสรีภาพที่จะเลือก ต่อให้แฟนของโคคิเป็นไอ้หนุ่มธรรมดา เขาก็ไม่มีสิทธิไปขัดขวางจนกว่าจะพบว่ามันเป็นขี้ยาหรือไอ้กระจอกงอกง่อย
“แล้วนี่ย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกันแล้วใช่ไหมนั่น” เขาถาม โคคิสะอึก ตอบพี่ชายเสียงแผ่วว่า “ก็อาคา...เซย์จูโร่น่ะสิ”
“เข้าใจแล้ว พี่รู้ว่าหมอนั่นมันเผด็จการ”
“พี่ เดี๋ยวเซย์จูโร่ได้ยิน” โคคิกระซิบ
“เอ้า อยู่ด้วยกันหรอ โอเค พี่รู้ว่าหมอนั่นมันเผด็จการ” เขากระซิบเสียงเบา และหัวเราะคิกคักไปกับน้องชาย ได้ยินเสียงกระแอมหนักแน่นของอาคาชิ จึงรู้ว่าตนอาจจะทำน้องชายเดือดร้อนได้
“งั้นแค่นี้ก่อนนะโคคิ เดี๋ยวพี่ไปเรียนละ”
“ครับ พักผ่อนบ้างนะครับ”
“โอเค”
 
นั่นคือบทสนทนาก่อนที่มือถือจะไปนอนนิ่งในกระเป๋าสะพาย โควตะสำรวจตัวเองหน้ากระจกอีกที ชุดลำลองธรรมดายิ่งทวีความธรรมดาของรูปร่างหน้าตาของเขาเข้าไปอีก โควตะมีร่างกายโปร่งค่อนไปทางผอม ผิวขาวแต่พักหลังออกจะคล้ำแดดขึ้นมาบ้าง ใบหน้ามีสัดส่วนที่เหมาะเจาะ เกือบจะหล่อเหลาด้วยซ้ำถ้าหากเขาไม่ได้มีนัยน์ตาดำเล็กกว่าตาขาวอย่างเห็นได้ชัด คิ้วก็บาง ผมสีน้ำตาลก็ชี้โด่เด่จัดทรงยาก ถ้าเทียบกับโคคิ เขาเหมือนฝาแฝดที่แก่กว่าน้องชาย เพียงแต่ตัวสูงกว่า มีวุฒิภาวะมากกว่า อาจจะเพราะปีนี้อายุยี่สิบสาม ซึ่งห่างจากน้องชายสี่ปี
วันนี้มีวิทยากรพิเศษที่ถูกเชิญมา เห็นว่าเป็นเพื่อนเก่าของอาจารย์ โควตะรีบเดินทางไปเรียน โดยลืมสมุดเล็คเชอร์กับปากกาหลากสีเพื่อเพิ่มความจำ เขาเป็นคนตั้งใจเรียน แต่ดันเรียนไม่เก่ง บางทียังแอบนึกอิจฉาเพื่อนที่กลางคืนเมาหัวราน้ำ กลางวันลุกมาสอบแล้วได้คะแนนท็อป ผิดกับโควตะที่ต้องนั่งท่องหนังสือ ทำความเข้าใจล่วงหน้าหลายวัน เตรียมตัวมาก็ดี ตั้งใจเรียนอย่างขมีขมัน ทว่าเขายังสู้สมองเปี่ยมพรสวรรค์และความคิดของพวกไม่ตั้งใจไม่ได้ จะจบปีสี่แล้วเขายังมีเกรดเอแค่ไม่กี่ตัวเอง และดูท่าไม่มีหวังกับเกียรตินิยมด้วย คนเราเกิดมามีต้นทุนไม่เท่ากันจริงๆ
โควตะเชื่อว่าถ้าไม่มีก็ต้องสร้าง ไม่เก่งก็ต้องพยายาม แต่เขาคงต้องพยายามมากกว่าคนอื่นหลายเท่า คนที่เก่งโดยไม่ต้องทำอะไรน่ะมันมีจริงๆ อาจไม่ขยันแต่ความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศอะไรแบบนั้น
ขณะกำลังสาวเท้าอยู่ ก็มีคนผลักไหล่อย่างแรง “โย่ว! โควตะ”
“ไง ชิมะ” ทักกลับ เพื่อนสนิทของเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่พยายาม แต่เก่งเว่อร์ เจ้าตัวเคยเล่าให้ฟังตอนเมาว่า ตั้งแต่เด็กมาเป็นคนหัวไว ไม่เคยเรียนพิเศษ ตอนเรียนที่โรงเรียนก็ไม่ตั้งใจฟัง แต่มักหาอ่านศึกษาเอาเองมากกว่า ชอบคิดอะไรที่แตกต่างเชื่อมโยงด้วย สอบเลยได้คะแนนดี อีกทั้งที่บ้านทำธุรกิจ ฐานะร่ำรวยพอสมควร กลับไปก็ไปนั่งแท่นบริหารเลย ชีวิตทำไมง่ายขนาดนั้น
“นายรู้หรือเปล่าว่าวิทยากรคราวนี้เป็นใคร” ชิมะหรี่เสียง ตาเป็นประกาย
“ไม่รู้อ่ะ”
“ได้ยินว่าเป็นมหาเศรษฐีระดับบิ๊กบอส ตัวพ่อแห่งวงการธุรกิจเลยนะ”
“ใครล่ะ” โควตะพยายามนึกถึงข่าวสารที่ผ่านตา แต่ก็นึกไม่ออก
“คนที่มีฉายาว่าสิงโตแดง”
โควตะนึกถึงธงของทีมฟุตบอลหนึ่งแล้วหัวเราะลั่น ชิมะพลอยขำไปด้วยเพราะตามความคิดเพื่อนทัน
“อะไร เจ้าพ่อสิงโตแดงจะมาเป็นวิทยากรพิเศษให้เราหรอ” กุมท้องถามเสียงสั่น
“เรียนเสร็จคงต้องไปเตะบอลกันแล้วล่ะ” ชิมะล้อเลียน เดินไปกลางถนนมหาวิทยาลัยโดยไม่ทันเห็นว่ามีรถลีมูซีนสีดำแล่นเข้ามา “ชิมะ หลบ!” โควตะดึงเหวี่ยงเพื่อนมาอีกด้านของตน “ไม่ดูทางเลยนะนาย”
“โทษที มัวแต่ขำนะ” แม้จะเกือบโดนรถชน แต่ก็ยังยกมือขอโทษชิลๆ
รถคันยาวชะลอความเร็วลง คนขับผงกหัวให้โควตะเล็กน้อย โควตะผงกรับเช่นกัน กระจกข้างรถสะท้อนภาพเขากับเพื่อนสนิทบนฟิล์มสีทึบ แม้จะมองไม่ชัด แต่เขาคิดว่าเห็นแววตาเยือกเย็นสบกลับมา
เด็กหนุ่มถึงกับเผลอไผลแม้ไม่เห็นหน้า เขารู้สึกว่าหัวใจที่อกซ้ายเต้นแทบทะลุอก
ความรู้สึกนี้มันอะไรกัน
“โควตะ ไปกันเถอะ” เสียงของชิมะทำให้สติเขากลับมา โควตะเบือนหน้า หันเดินตามหลังเพื่อนไป มุ่งสู่อาคารเรียนซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องประชุมขนาดใหญ่ โควตะไม่รู้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่กว่าห้องประชุมกำลังจะมาเยือนชีวิตในอีกไม่ช้า
 
นักเรียนสองร้อยกว่าคนที่ลงเรียนวิชาเดียวกันทยอยหาที่นั่ง เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเรียน เวทีจึงยังว่างเปล่า โควตะคิดว่าตนมาเร็วแล้ว ยังไม่ทันนักศึกษาคนอื่นที่จับจองที่นั่งตามใจชอบ เหลือเพียงที่ว่างซ้ายมือติดเวที พอนั่งได้สองคนพอดี ชิมะรีบลากเขาไปนั่งเพราะกลัวโดนแย่ง
“ใกล้ขนาดนี้เวลามองจอมอนิเตอร์ต้องปวดตาแน่ๆ” ชิมะบ่น เพราะสายตาสั้นและเอียงเล็กน้อย เวลามองใกล้มากเกินไปจะปวดหัว มองไกลเกินไปจะไม่เห็น แถมยังไม่ยอมใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ด้วย
ส่วนโควตะสายตาสั้นแค่ห้าสิบ ตอนนี้เขาหยิบแว่นสำหรับอ่านหนังสือขึ้นมาสวม
“พ่อคนเตรียมพร้อม” ชิมะหยอก โควตะยักไหล่
ไฟเวทีเปิดแล้ว อาจารย์สาววัยกลางคนเดินขึ้นมา เธอถือไมค์ กล่าวทักทายตามปกติ ก่อนจะแนะนำชายที่เดินเข้ามาทางประตูหลังเวที
เสียงฝีเท้าเบาแต่หนักแน่น ทุกย่างก้าวก่อให้เกิดความเงียบโดยบุคลิกน่ายำเกรงอันเป็นธรรมชาติ ชายหนุ่ม...ไม่สิ ชายวัยกลางคนที่หนุ่มกว่าวัยส่งยิ้มอ่อนจางให้อาจารย์สาวที่ผละจากแท่น และชายผู้นั้นเข้าไปยืนแทน ร่างสูงสง่าหลังไมค์ให้ความรู้สึกน่าเคารพ แต่ไม่น่าสนิทสนมนัก ใบหน้าหล่อคมคายเปี่ยมด้วยพลังอำนาจในแววตา ผมสีน้ำตาลค่อนไปทางแดงเสยเรียบร้อย เปิดให้เห็นหน้าผากกว้างได้รูป โควตะเผลอมองไล่ลงมาตั้งแต่คิ้วเข้ม สันจมูกตรงสวย เรื่อยมาจนถึงริมฝีปาก โครงโหนกแก้มและสันกรามไม่แข็งกร้าว โดยรวมให้ความรู้สึกเยือกเย็น เมื่อยิ้ม ก็มีร่องรอยบ่งบอกอายุใต้ตา ทำให้ไม่ดูโกงอายุมากจนเกินไป กระนั้นเสน่ห์ยังมหาศาล
“ผมชื่อ อาคาชิ มาซาโอมิ” เสียงทุ้มนุ่มสะกดคนทั้งทั้งห้องให้รู้สึกชื่นชมผสมตื่นกลัวไปพร้อมกัน “ผมมารับหน้าที่เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษให้กับภาควิชาบริหารธุรกิจ ที่จริงผมไม่ใช่อาจารย์ ไม่มีอะไรมาสอนพวกคุณนอกจากประสบการณ์ในวงการธุรกิจตลอดหลายสิบปีมานี้ ไม่มีพาวเวอร์พอยด์ฉายบนจอมอนิเตอร์” เขากล่าว    
“พวกคุณสนใจจะฟังเรื่องราวของผมไหมครับ”
เขายิ้ม...แต่ก็ยังน่าเกรงขามอยู่ดี โควตะได้ยินเสียงกลืนน้ำลายจากทั่วสารทิศ ไม่ว่าจะอยากหรือไม่อยากฟัง ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธหรอก
“คุณอาจจะเคยได้ยินข่าวของผมหรือเคยเห็นผมตามสื่อต่างๆ ถึงผมจะโด่งดังมาก แต่การที่ผมมาปรากฏตัวที่นี่แสดงให้เห็นว่าผมก็เป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วไป แต่อะไรทำให้ผมแตกต่างล่ะ?” เขาวางมือลงกับโต๊ะ จ้องมาที่โควตะแว้บหนึ่ง โควตะใจเต้น น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกกลัวมากเท่าคนอื่นๆ แอบคิดด้วยซ้ำว่า ชายคนนี้มั่นใจเหลือล้น และทรงอำนาจขนาดที่ว่าพูดจาหลงตัวเองออกมาแล้วไม่มีใครกล้าคัดค้าน
“การที่ผมมายืนจุดๆ นี้ได้ ผมผ่านอะไรมามากมาย ต่อสู้มานับไม่ถ้วน แน่นอนว่าผมชนะ และวันนี้ผมจะมาแนะแนวหนทางไปสู่ผู้ชนะให้ทุกๆ คน จำไว้ว่าการจะผงาดขึ้นมาได้ คุณต้องไม่เป็นผู้แพ้ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”
แล้วเรื่องราวของผู้ชนะก็เริ่มต้นขึ้น ประสบการณ์ที่ถ่ายทอดล้วนน่าทึ่ง เต็มไปด้วยยุทธวิธีเหมือนเอาตำราพิชัยสงครามมากางสอน ธุรกิจคือสงคราม โควตะรีบเลคเช่อร์ เขาใช้ปากกาสีเน้นข้อความอย่างตั้งอกตั้งใจ เวลาผ่านไป โควตะพบว่าตนจดมาได้สิบกว่าหน้าแล้ว
จากที่สูงส่งจนไม่น่าเข้าใกล้ วิทยากรพิเศษเริ่มปฏิสัมพันธ์กับผู้ฟังอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีการถามตอบ
“ความฝัน” วิทยากรเดินลงจากแท่น เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อชายหนุ่มเดินลงบันไดจากเวที
“คุณมีความฝันอะไร” ไมค์ถูกยื่นมาให้โควตะ เขาเงยหน้าจากช้อตโน้ตอย่างตกใจ
เขาค่อยๆยืนขึ้น รับไมค์มาถือ มือสั่นเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ตอบได้เลย” เสียงที่ปราศจากเครื่องขยายเสียงใจดีกว่าในไมค์มาก
“ผม...” โควตะกลืนน้ำลาย ก่อนจะยอมเผยความฝันที่เก็บซ่อนมานาน “ผมอยากเป็นซีอีโอครับ”
คนทั้งห้องหัวเราะทันที เพราะต่างก็รู้ดีว่าโควตะได้คะแนนรั้งท้าย เรียนไม่เก่ง และดูเหมือนฐานะทางบ้านจะไม่ได้ดีนัก ชิมะซึ่งเป็นเพื่อนสนิทหันไปจิกหน้าใส่คนรอบๆ โควตะรู้สึกอับอาย
“เงียบ” มาซาโอมิสั่งด้วยเสียงเฉียบขาด มันดังก้องทั้งที่ไม่มีไมค์ “พวกที่หัวเราะความฝันของผู้อื่น คือผู้แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่ง”
เงียบลงฉับพลัน
“เธอมีความพยายามมากแค่ไหน” ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ผมพยายามมากๆ มาตลอด แต่มัน...”
“ไม่มีแต่” มาซาโอมิแทรก เขาแบมือขอไมค์คืน โควตะใจแป้ว ไม่เคยรู้สึกอายเท่านี้มาก่อน
มาซาโอมิรับไมค์คืนมา “จะเก่งแค่ไหนก็ต้องพยายามและขยัน ยิ่งไม่เก่งยิ่งต้องพยายาม”
“เธอจะพิสูจน์ตัวเองได้ใช่ไหม”
“ค...ครับ?” โควตะเงยหน้า สบดวงตาโชนแสงของมาซาโอมิ
“เธอชื่ออะไร”
“ฟุริฮาตะ โควตะ ครับ”
ดวงตาสีน้ำตาลแดงหรี่ลงเล็กน้อย “ฟุริฮาตะหรือ...เอาเถอะ เธอจะต้องทำความฝันของเธอให้กลายเป็นความจริงให้ได้ นี่คือคำสั่ง” มาซาโอมิยิ้ม เหมือนจะมีแสงเรืองรองออกมา โควตะคิดว่าตนถูกฉุดขึ้นมาจากความมืดเมื่อมาซาโอมิกล่าวว่า “เธอแค่กลับไปดูแลและจัดระเบียบความคิดตัวเองใหม่ โลกน่ะอยู่นอกเหนือจากหน้าห้องเรียนและในหนังสือ เมื่อเธอค้นพบทางของตัวเองแล้ว ความสำเร็จจะอยู่ไม่ไกลอีกต่อไป”
เขาใช้นิ้วเคาะช้อตโน้ตละเอียดยิบของโควตะเบาๆ “เก่งมาก นี่แหละคือคุณสมบัติของผู้บริหาร”
มาซาโอมิเดินกลับไปหน้าเวที แล้วเริ่มดึงความสนใจจากนักศึกษาให้กลับมาชื่นชอบตนได้ต่อ ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งต่อว่าไปแท้ๆ เขาเป็นพระเจ้าหรือไงกันนะ โควตะคิด...รู้สึกว่าหัวสมองที่หนักอึ้งคลายลง เขาเริ่มจินตนาการภาพตามที่มาซาโอมิอธิบาย และยังคงช้อตโน้ตอยู่
จัดระเบียบความคิดตัวเองใหม่ โลกอยู่นอกห้องเรียนและหนังสือ
หนทางของตัวเองงั้นหรือ?
เป็นคำใบ้ที่ชวนปวดหัวดีแฮะ
“เฮ้ นายโอเคนะ” ชิมะถามด้วยความเป็นห่วง โควตะรู้สึกขอบคุณ
“ไม่เป็นไร ฉันโอเคแล้ว” เขาไม่ได้โกหกแต่อย่างใด
แต่ไหนแต่ไรมาโควตะเน้นการจดจำและคิดตามขอบเขตของการเรียนรู้ อีกทั้งเขายังไม่ใช่คนหัวดีหัวไวด้วย โควตะไม่ใช่คนกล้าหาญ เขาทำทุกอย่างตามระเบียบทีมีเพราะกลัวความผิดพลาด ถ้าเขาจะโยนความเครียดทิ้ง ดึงจินตนาการและนิสัยเพ้อฝันเข้ามาใช้ล่ะ...จะเป็นไรไหม
 “ถ้าคุณทำธุรกิจ คุณจะทำยังไงให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดด”
เป็นคำถามที่ค่อนข้างกว้าง มาซาโอมิถามเด็กสาวที่นั่งกลางแถว เธอตอบอย่างมั่นใจว่าเธอจะดูแนวทางและรสนิยมของตลาดว่าแบบไหนถึงจะขายได้ดี และผลิตแนวนั้นออกมาเพื่อดึงความสนใจ และเพิ่มกำลังซื้อ
“มีใครเห็นต่างจากนี้อีกไหม?
มาซาโอมิถาม พลางกวาดตาไปรอบๆ ดูเขาจะผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่มีใครยกมือ
แต่แล้วที่แถวหน้าสุด เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนก็ค่อยๆ ยกมือขึ้น
“โควตะ” ชิมะปราม โควตะส่งยิ้มคลายกังวลให้ แม้เขาจะกลัวนิดหน่อยว่าคำตอบมันจะผิด
“ว่าอย่างไรครับ ฟุริฮาตะคุง”
“ผม...ผมจะสร้างความแตกต่าง เอ่อ หมายถึงถ้าทำสินค้า ก็จะทำที่ฉีกแนวไปจากคู่แข่งครับ”
“ปฏิวัติวงการตลาด?
“ใช่ครับ” โควตะกล่าว “เหมือนการเปลี่ยนแปลงระบบตลาดที่มีอยู่เดิมเพื่อสร้างเทรนด์นิยมใหม่ เช่น ถ้าเป็นเครื่องบิน ระบบที่มีอยู่เดิมในทุกสายการบินคือ ชั้นประหยัด ชั้นนักธุรกิจ และชั้นเฟิร์สคลาสใช่ไหมครับ ผมก็จะปรับสายการบินของผมให้รองรับแค่ระบบเดียวที่ผู้มีรายได้ทั้งสามระดับขึ้นและใช้ที่นั่งชั้นเดียวกันได้ บริการดีอำนวยความสะดวกไม่ต่างจากเฟิร์สคลาส แต่จ่ายในราคาเท่ากับชั้นประหยัด ฟังๆ ดูน่าจะขาดทุนใช่ไหมครับ” โควตะรู้สึกกล้าขึ้นมากะทันหัน เขาพูดต่อทันที “แต่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกันครับ ราคาถูกบริการดีเลิศใครจะไม่สนใจ สิ่งที่ผมได้คือจำนวนของลูกค้าที่หลั่งไหลมาเพิ่มขึ้นทุกระดับ มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีลูกค้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ผมได้รายได้มาก ก็จะไม่ขาดทุนอีกต่อไป เมื่อมีรายได้มาก การรักษาคุณภาพก็เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพด้วย สายการบินของผมจะโดดเด่นขึ้นมาทันที”
“มันเสี่ยงและทำได้ยาก” เด็กสาวคนแรกที่ตอบ แย้งขึ้นมา
โควตะสวนทันควันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้”
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง
“นายคิดว่าคนนั่งชั้นเฟิร์สคลาสมาตลอด จะยอมนั่งที่เดียวกันกับคนที่ขึ้นชั้นประหยัดหรอ? เขาแบ่งกลุ่มลูกค้าตามกำลังซื้อไว้อยู่แล้ว” เด็กสาวเถียง
“มันเป็นธุรกิจทางเลือกไง ผู้บริโภคตัดสินใจด้วยตัวของเขาเอง แต่เธอคิดว่าคนจำนวนไหนมีมากกว่ากันล่ะ ระหว่างคนมีรายได้ปานกลาง กับคนที่มีรายได้มาก และเมื่อเกิดการเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ของเขาเป็นชั้นประหยัด ในขณะที่เรามีบริการที่ดีกว่าให้โดยจ่ายในราคาเท่ากัน เธอคิดว่าลูกค้าจะเลือกของใครกันล่ะ ไม่สิ ถ้าเป็นเธอ ระหว่างชั้นประหยัดแบบเดิม กับราคาเท่าชั้นประหยัด แต่สะดวกกว่าบริการดีกว่า เธอก็น่าจะตัดสินใจเลือกโดยไม่ลังเลได้นะ”
“ถ้างั้นสายการบินนายก็จะมีแต่คนรายได้ปานกลางไปใช้บริการ”
“ก็ไม่แน่เหมือนกัน บริการดีเหมือนเฟิร์สคลาส แต่จ่ายไม่แพงมาก เธอคิดว่าผู้มีรายได้มากอยากจ่ายแพงไปซะทุกอย่างหรือไง”
มาซาโอมิปรบมือให้ทั้งสองคน “ขอบคุณสำหรับคำตอบนะครับ ไม่มีของใครผิดหรอกครับ อันที่จริงมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสภาพในขณะนั้นว่าเราจะเลือกทางไหน จังหวะเวลาเป็นสิ่งสำคัญ” เขาสรุป ฟุริฮาตะกับเด็กสาวคนนั้นนั่งลง หน้าแดงก่ำทั้งคู่
“พวกคุณเก่งมากครับ” ปรบมือให้อีกครั้ง และทุกคนในห้องปรบมือตาม สีหน้าของทั้งสองคนจึงดีขึ้นเล็กน้อย
ระหว่างมาซาโอมิกำลังเดินกลับไปขึ้นเวที โควตะหน้าแดงอีกครั้งเมื่อมาซาโอมิกระซิบให้ได้ยินเพียงสองคนว่า
“เห็นไหมว่าผมน่ะถูกต้อง คุณมีคุณสมบัติของผู้บริหาร”
หัวใจของโควตะเต้นแรงมาก เขารู้สึกตื้นตันจนน้ำตาคลอ
“เพิ่มความระมัดระวังและมองให้กว้างกว่านี้ แล้วเธอจะกลายเป็นซีอีโอที่สุดยอด”
ตอนนี้เองที่ความทะเยอทะยานไร้ขีดจำกัดถูกปลดล็อค ฟุริฮาตะ โควตะ พบหนทางของตนแล้ว และเขายังค้นพบต้นเหตุของการเต้นแรงของหัวใจด้วย
“นายเจ๋ง” ชิมะชม โควตะยิ้มกริ่ม เขามองร่างบนเวทีด้วยสายตาแน่วแน่อันแฝงไปด้วยความหลงใหล
ก่อนจะเผลอใจไปมากกว่านั้น ข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์เด้งขึ้นมา โควตะเปิดดูพบว่ามาจากโคคิ
“โทษนะพี่ ผมรู้ว่าพี่เรียนอยู่ แต่วันนี้พ่อของเซย์จูโร่ไปเป็นวิทยากรที่ภาควิชาพี่ใช่มั้ย คือเซย์จูโร่ติดต่อพ่อเขาไม่ได้น่ะ เลยฝากผมมาบอกผ่านพี่ หลังเสร็จงานแล้วรบกวนพี่เอาข้อความนี้ให้คุณพ่อของเซย์จูโร่ดูหน่อยนะ เอกสารน่ะ”
โคคิโหลดส่งมาให้ในไลน์ 
“ขอบคุณมาก จาก อาคาชิ เซย์จูโร่”
ข้อความต่อมา อาคาชิเป็นคนพิมพ์
โควตะกลืนน้ำลาย อา...เขาไม่ตะหงิดใจกับนามสกุลอาคาชิได้ยังไงกันนะ
ให้เข้าไปหาคงจะเขินน่าดู แต่เขาก็มีข้ออ้างโดยไม่คาดฝันแล้วนี่
โคคิเคยเล่าให้ฟังว่าแม่ของอาคาชิเสียไปนานแล้ว พ่อของอาคาชิไม่ได้แต่งงานใหม่
“โคคิ...” โควตะกดพิมพ์ส่งข้อความให้น้องชาย
“พี่ตัดสินใจแล้วว่าพี่จะเป็นสิงโต”
แน่นอนว่าน้องชายของเขาไม่เข้าใจความหมายของข้อความประหลาดนี้หรอก และแม้แต่อาคาชิเองก็อาจจะนึกไม่ถึงเช่นกัน