วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2559

Fanfic KNB [Kagami x Takao] : Rain in your eyes [4]




fiction  : Rain in your eyes 4
Author : froridy
Relationships : Kagami Taiga x Takao kazunari / Midorima x Takao
Fandom  : Kuroko no basuke
Warning  : Yaoi
Note : -----
Summary: แว่วได้ยินเสียงนักข่าวพยากรณ์อากาศจากโทรทัศน์ รายงานว่าพรุ่งนี้อาจจะมีพายุเข้า




                “วันนี้นายควรจะหยุดพักนะ” คางามิพูดขึ้นตอนที่รูดม่านออก แสงแดดทะลุเข้ามาฉาบบนผนังห้องสีขาวจนดูเหมือนถูกอาบย้อมด้วยน้ำผึ้ง หน้าต่างเปิดแง้มเล็กน้อยเพื่อให้ลมยามเช้าพัดผ่านเข้ามา ถ่ายเทอากาศให้คนที่นอนซมอยู่บนเตียง
                ทาคาโอะพลิกกายนอนหงาย “ปวดไปหมดทั้งตัวเลยอ่ะ” บ่นพลางเอาแขนก่ายหน้าผาก เขาหลับไปก่อนเลยไม่รู้ว่าคางามิย้ายเขามาที่เตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตื่นอีกทีก็เช้าแล้ว คางามิบอกว่าซักเสื้อผ้าให้ตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้น่าจะแห้งแล้ว แต่ยังไงก็ตามทาคาโอะควรจะหยุดเรียน
                “ไหนดูซิ ไข้ลดแล้วนี่” คางามิทาบมือบนหน้าผากเขา จากนั้นก็มุ่นคิ้วพิจารณา “หน้าผากนายนอกจากจะกว้างแล้วยังสูงอีกแฮะ ระวังหัวล้านตอนแก่นะ”
                “โอโห คำทักทายหวานๆ ตอนเช้า กระชุ่มกระชวยหัวใจดีเหลือเกิน” ทาคาโอะประชดประชัน คางามิหัวเราะในลำคอ เอามือผละไปโอบร่างอีกฝ่ายเข้ามาแทน และจูบหน้าผากเบาๆ “อยากอาบน้ำมั้ย หรือจะเช็ดตัว”
                “อาบดีกว่า จริงๆ นี่ก็ดีขึ้นแล้วนะ”
                “ก็ไข้จากฝนน่ะหายแล้ว แต่...” คางามิเว้นเสียง ก่อนจะแสร้งถามด้วยสำเนียงใสซื่อว่า “แต่...นายจะเดินไหวหรอ”
                ทาคาโอะตีหมอนใส่คางามิทันที “บ้า! เออ หยุดพักวันนึงก็ได้ พอใจมั้ยเล่า” ระดมตีหมอนใส่ไม่หยุด คางามิหลบเลี่ยงพัลวัน “เฮ้ยๆ อย่าสิ โอ้ย ฉันจะไปทำอาหารเช้าแล้วนะ ไปอาบน้ำเลย!” คางามิดันหมอนกลับจนทาคาโอะหงายหลัง แล้วเดินดุ่มออกจากห้องไป ทาคาโอะเอาหมอนออกจากหน้า สูดลมหายใจแล้วบ่นขมุบขมิบ ร้าวระบมไปทั้งร่างจากอาการไม่สบาย แต่คางามิเมื่อวานก็อ่อนโยนเหลือเชื่อ ทาคาโอะไม่อยากจะเชื่อว่าครั้งแรกของเขาเป็นของผู้ชาย (ถึงคนที่เขาแอบรักจะเป็นผู้ชายก็เถอะ) แต่มันไม่ได้เลวร้ายเลย นั่นอาจจะเพราะว่าเป็นคางามิ ทาคาโอะจึงสามารถตื่นขึ้นมาได้ แล้วกล้ายังกล้ามองตัวเองในกระจก ที่ผนังห้องตรงข้ามกับเตียง ทาคาโอะมองตัวเองที่ยังทอดกายพิงพนักเตียงอยู่ด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ เขาก้มสำรวจตัวเองพบว่าคางามิทิ้งร่องรอยไว้เพียงเจือจางเท่านั้น ไม่นานคงลบเลือนหายไป
                ทาคาโอะลุกขึ้น คว้าผ้าขนหนูที่คางามิพาดไว้ให้ข้างๆ เขาเดินกะท่อนกะแท่นไปเข้าห้องน้ำ ส่วนคางามิกำลังเริ่มทำอาหารเช้า ข้าวผัดอเมริกันส่งกลิ่นหอมตอนที่ทาคาโอะอาบน้ำเสร็จ เขาสวมชุดของคางามิแล้วเดินเข้ามาทางข้างหลังของชายร่างสูงใหญ่ นึกชมชอบทุกสัดส่วนตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยเฉพาะไออุ่นที่แผ่ออกแม้ไม่ได้หันมา
                ทาคาโอะจึงก้าวเข้าไปสวมกอดจากข้างหลัง รัดเอวอีกฝ่าย กดจมูกลงระหว่างสะบัก
            อา...กลิ่นก็หอมสะอาด
                ใจไม่ได้ละลาย ไม่ได้เต้นอย่างบ้าคลั่ง แต่คางามิให้สัมผัสที่เหมือนการปกป้องของครอบครัว และการเข้าอกเข้าใจอย่างเพื่อน แต่เมื่อมารวมอยู่ในความสัมพันธ์ คำว่าเพื่อนก็นำมาใช้อธิบายไม่ได้
                คางามิตกใจเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงทำในสิ่งที่ต้องทำต่อไป คือก้มลงปิดเตา หยิบจานมาสองใบ ตักข้าวในกระทะใส่ ทาคาโอะยังคงเกาะแกะเขาอยู่ไม่ยอมปล่อย
                “อยากทานอะไรอีกมั้ย” คางามิถาม
                ทาคาโอะสวมกอดให้แน่นขึ้น “แค่นี้ก็พอละ พาฉันไปที่โต๊ะหน่อยสิพี่ชายย” ลากเสียงอ้อน คางามิหัวเราะ เขายกจานสองใบพร้อมกับเดินลากทาคาโอะที่เกาะเขามาด้วย คางามิวางจานลงบนโต๊ะ ตบแขนให้ทาคาโอะปล่อยและไปทานข้าวได้แล้ว ทาคาโอะคลายแขนอย่างเสียดาย แล้วไปนั่งฝั่งตรงข้าม เช้านี้เขาเจริญอาหารขึ้น แถมยังชวนคางามิจ้ออย่างร่าเริงอีกต่างหาก ทั้งยังเตือนเมื่อคางามิกินเพลินจนลืมเวลา ลุกเก็บจานให้ หยิบกระเป๋ากับร่มให้ แล้วไปยืนส่งหน้าห้อง
                “ไปดีมาดีนะ” โบกมืออวยพร ด้วยความที่ใส่เสื้อตัวใหญ่ของคางามิซึ่งยาวเกือบคลุมเข่า ฉากเลยออกมาทะแม่งๆ และรอยจางๆ บนคอทาคาโอะทำให้เขาหน้าแดง ทาคาโอะหัวเราะยกใหญ่เมื่อจับได้ว่าสายตาของคางามิอยู่ที่ไหน แล้วสะท้อนความคิดทำนองไหนออกมา จึงเข้ามาสวมกอดเขาอีกรอบ
                “เดี๋ยวฉันทำอาหารเย็นรอนะ” เขย่งกระซิบข้างหู พร้อมกับจุ๊บแก้มด้วย คางามิหน้าแดงแจ๋ แต่ก็หอมเขากลับเร็วๆ ก่อนจะเปิดประตูห้องออกไป พอประตูห้องปิด ทาคาโอะก็วิ่งย้อนไปที่หน้าต่างห้องรับแขก เขาชะโงกหน้ามองลงไปจากระเบียง สักพักก็เห็นคางามิเดินสะพายกระเป๋าออกมาจากตัวอาคาร
                “ยู้วฮูววว” ทาคาโอะตะโกน คางามิสะดุ้งเงยขึ้นมองแล้วยกนิ้วชี้จุ๊ปากเป็นเชิงห้าม ก่อนจะโบกมือให้ ทาคาโอะโบกมือกลับ ส่งยิ้มทะเล้น แล้วคางามิก็ส่งยิ้มหล่อเหลากลับมา ทาคาโอะวางแขนลงบนราวระเบียง หัวเราะคิกคักอย่างเขินอาย จนกระทั่งคางามิกลับถนนไปฟากตรงข้าม เห็นแผ่นหลังไกลลิบ ทาคาโอะจึงย้ายจุดโฟกัสมาที่ท้องฟ้า
                เขารับรู้ว่าตัวเองกำลังมีความสุข
                แต่เขาก็ไม่ได้ลืมเรื่องที่ใจสลายเมื่อวาน
                มุมปากเขาตกลงอีกครั้ง หลับตาเมื่อลมพัดผ่านใบหน้าและเส้นผม สลัดความหน่วงหนักออก สนใจลำดับประเด็นว่าเขาควรจะทำอะไรก่อนระหว่างล้างจาน กับส่งข้อความหารุ่นพี่ว่าจะหยุดสักวัน การไม่เจอหน้ามิโดริมะในทันทีคงจะเป็นเรื่องดีสำหรับตัวเขาที่ยังคงไขว้เขวอยู่ด้วย
                ทาคาโอะกลับเข้ามาในห้อง มองหาโทรศัพท์ คางามิวางรวมกับทรัพสินย์อื่นๆ ของเขาไว้บนโต๊ะกระจกหน้าโทรทัศน์ เมื่อวานเขาก็ลืมนึกไปตอนเดินตากฝนว่ามือถือจะพังไหม พอไปหยิบเครื่องมาเปิดเช็คพบว่ายังใช้ได้ปกติ
                “หืม...” คางามิส่งข้อความมา บอกว่ากระเป๋าเงินอยู่ในห้องซักรีด ทาคาโอะขมวดคิ้ว สงสัยว่าทำไมเข้าไปอยู่ในนั้นได้ จึงไปสำรวจห้องซักรีดซึ่งเป็นที่ตั้งของเครื่องซักผ้า กะละมัง และอุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหลาย แต่ภาพที่เด่นที่สุดคือ พัดลมตัวเล็กซึ่งถูกเปิดทิ้งไว้เพื่อเป่าพวงไม้หนีบที่หนีบแบงค์หลายใบสะบัดพรึบไปมา ทาคาโอะอ้าปากค้าง เข้าใจว่าฝนตกจนเปียกไปหมด แต่คางามิถึงขั้นเอาเงินออกมาตากแห้งให้เลยหรอ ยิ่งเห็นยิ่งซาบซึ้งใจ ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย
                “โอ้ยย ฮ่าๆๆ” ทาคาโอะกุมท้องตัวเอง ยิ่งเห็นพัดลมตัวน้อยเป่าแบงค์ที่มีใบหน้าบุคคลสำคัญของญี่ปุ่นให้เพยิบพยาบ สะบัดเป็นธงชาติ เขายิ่งหยุดขำไม่ได้ ยกมือถือถ่ายภาพเก็บไว้ แล้วก็ขำต่ออีกระลอก
                ด้านคางามิที่ใกล้ถึงโรงเรียนแล้ว เขาจามสามรอบ “นี่ฉันติดหวัดหมอนั่นหรือไงเนี่ย” บ่นพำพัม แต่ลึกๆ ก็คิดว่าไม่ใช่
                “มีคนคิดถึงคางามิคุงมั้งครับ” คุโรโกะทักอย่างไม่ทันตั้งตัว และคางามิก็ตกใจตามเคย “เจ้าบ้า”
                “คางามิคุงน่าจะชินได้แล้วนะครับ” คุโรโกะกล่าวเสียงเรียบ คางามิเลิกคิ้วใส่ “เอ้า ตกลงฉันผิดใช่มั้ยเนี่ย”
                “คางามิคุงผิดที่เดินยิ้มซ้ายยิ้มขวาจนคนอื่นเขากลัวกันหมดแล้วครับ”
                คางามิหยุดเดิน เขายกมือจับหน้าตัวเอง พบว่าโหนกแก้มกำลังยกอยู่ “ไม่รู้ตัวเลยแฮะ”
                คุโรโกะทำหน้าประหลาดใจ “เจอเรื่องดีๆ มาหรอครับ”
                คางามิยกมือข้างหนึ่งลงมาวางบนผมสีฟ้า แล้วขยี้เล่น “ก็คงงั้นแหละ”
                “อย่าสิครับ คางามิคุง” คุโรโกะเอ็ด ผมเขายิ่งจัดทรงยากอยู่ด้วย คางามิยักคิ้วให้เขาแล้วคลี่ริมฝีปาก คุโรโกะอึ้งไปเล็กน้อย นี่ไม่ใช่คางามิในเวลาปกติจริงๆ ด้วย
                “ไปห้องพยาบาลมั้ยครับ...”
                คางามิสับสันมือกลางผมสีซีดของคู่หูร่างเล็ก

               
                “นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่” จู่ๆ มิยาจิก็บุกมาที่ห้องเรียนปีหนึ่ง แล้วยื่นมือถือที่เอามาจากโอทสึโบะให้ดู มิโดริมะกระพริบตาเล็กน้อย “ครับ?” มิยาจิหงุดหงิดใส่ ไม่สนสายตาเด็กปีหนึ่งทั้งห้อง “ฉันหมายถึงว่าทำไมทาคาโอะส่งข้อความมาลาหยุดกับโอทสึโบะแบบนี้ ปกติหมอนี่ไม่เคยลาหยุด มันได้บอกอะไรนายมั้ย”
                มิโดริมะหลุบตาลงมองหนังสือบนโต๊ะ “ไม่ครับ” ทาคาโอะไม่ได้ส่งข้อความหาเขาเลย และนั่นทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
                มิยาจิใช้กำปัดงัดคางรุ่นน้องจอมซึนขึ้นมา “นี่ยังไม่คืนดีกันใช่มั้ย ถามจริง นายโกรธอะไรหนักหนาฮะ?
                มิโดริมะปัดมือออก มิยาจิรีบพูดดักไว้ “อย่ามาใช้ประโยคที่ว่า ไม่ใช่เรื่องของรุ่นพี่กับฉันด้วย นี่มันเป็นเรื่องของทีม ว่าไง โกรธอะไรหมอนั่น หรือถ้านายไม่กล้าขอคืนดี เดี๋ยวฉันช่วย บอกมาสิ อมพะนำอะไรอยู่”
                คนเป็นรุ่นน้องถอนหายใจ แล้วเหลือบสายตาคมกริบขึ้นมองตอนที่มิยาจิเอ่ยว่า “ฉันคิดว่าคนที่ควรจะเป็นฝ่ายขอโทษคือนายแล้วแหละ ไม่เห็นหรอว่าเมื่อวาน ทาคา---
                ปึง!
                มิโดริมะทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ ถึงแม้จะยังทำหน้าเย็นชาอยู่ แต่ดวงตาเดือดจัด มิยาจิตกใจเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็แสยะยิ้ม “ทำไม? มันมีอะไรมากกว่านั้นใช่ไหมล่ะ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ...แต่ก็เอาเถอะ นั่นมันเรื่องของพวกนายสองคน...”
                “ไม่ใช่สอง...”
                “หืม?” มิยาจิได้ยินไม่ชัด แต่มิโดริมะไม่พูดซ้ำ “อาจารย์ใกล้จะมาโฮมรูมแล้ว กลับห้องก่อนเถอะครับ”
                “นี่กล้าไล่รุ่นพี่เลยหรอ? เอาเถอะ ฉันก็เบื่อที่จะกล่อมคนหัวดื้ออย่างนายเหมือนกัน อ้อ เย็นนี้เลิกสี่โมงเหมือนเดิมนะ ปีสามมีประชุม นายไปเยี่ยมหมอนั่นสักหน่อยก็ดี ทาคาโอะไม่สบายน่ะ” มิยาจิทิ้งท้ายด้วยเสียงเบื่อหน่าย เหมือนย้ำว่าเขาต้องสำนึกผิดในสิ่งที่กระทำลงไป และนั่นทำให้มิโดริมะขุ่นมัวมากกว่าเดิม เขาอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง อาจจะเรียนไม่รู้เรื่องตลอดวันนี้เลยก็ได้
                มิโดริมะกดปากกาลงกับกระดาษเพื่อจดเล็คเชอร์ แต่ก็เผลอกดแรงจนทะลุ เขาทรมานตัวเองมาหลายวันด้วยภาพของคนสองคนใต้ร่มสีแดงกลางฝน เขารู้สึกระแวงตั้งแต่ทาคาโอะสนทนากับคางามิก่อนจะแยกย้ายไปแข่ง สองคนนี้ไม่ใช่พวกที่จะมาสนิทสนมกันได้ ทางเดินมันวกมาชนกันเมื่อไหร่เขาไม่เห็นรู้ เชื้อไฟน้อยนิดเมื่อตอนนั้นโหมไหม้ในวันที่เขาโทรหาทาคาโอะเพื่อโทรชวนไปหาซื้อลัคกี้ไอเท็ม ทาคาโอะปฏิเสธเขาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บอกจะไปเที่ยวกับเพื่อนต่างโรงเรียน มิโดริมะวางสายใส่ด้วยความโมโห เขาไม่ง้อก็ได้ จึงแต่งตัวออกจากบ้านไปหาซื้อของเอง ตอนที่เขาเดินทางมาจนถึงหน้าร้านอาหารอิตาเลี่ยนตามพิกัดแผนที่ก่อนถึงร้านขายของเก่าระบุไว้ มิโดริมะคิดว่าเห็นคนคล้ายๆ ทาคาโอะถูกลากไปโดยชายร่างสูงผมแดง เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะคิดว่าไม่น่าใช่ จนกระทั่งซื้อของเสร็จเรียบร้อย เตรียมจะกลับบ้าน ต้องเดินทางผ่านห้างสรรพสินค้า ท่ามกลางความพร่ามัวของฝน บนฟุตบาตเบื้องหน้าห่างไปไม่กี่ช่วงแขน เขาเห็นทาคาโอะกางร่มสีแดงให้คางามิ ไทกะ
                มือของสองคนนั้นกุมกันบนด้ามร่ม สีหน้าของทาคาโอะมีความสุขสดใสอย่างเป็นธรรมชาติ เด็กหนุ่มโดดเด่นราวกับดวงอาทิตย์ ทาคาโอะไม่เคยมีสีหน้าแบบนี้ตอนที่อยู่กับเขา
                โลกของมิโดริมะถล่มลง ไม่ว่าจะความมั่นคงหรือความเชื่อมั่น คันร่มจึงตกจากมือที่อ่อนเปลี้ย หยดน้ำจากฟ้าบดบังสายตาของเขา แต่มันก็บังไม่มิด
                สายไปแล้ว...งั้นหรือ?
                เฝ้าถามตัวเองเสมอมา
                ใช่...อาจจะใช่
                มิโดริมะให้คำตอบตัวเองในวันนี้ เขาจำสีหน้าทาคาโอะเมื่อวานได้ดี ถ้าดวงตาสีเทาคือแก้ว มันก็คงแตกตอนที่จ้องมองเขาด้วยแววรวดร้าว มิโดริมะรู้เสมอว่าทาคาโอะคิดยังไงกับเขา ถึงทาคาโอะจะพยายามปิดบังก็ตาม แต่เพราะความสับสนไม่แน่ใจเขาจึงรักษาระยะห่างไว้ เขาทำเมินเสียงจากส่วนลึกที่พยายามเตือนสติบอกพร่ำว่าเขาควรจจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร ควรจะยอมรับความจริงแค่ไหน  ที่สำคัญ เขาไม่ควรจะทำให้ทาคาโอะเสียใจอีก
                กว่าจะรู้ตัวว่ายิ่งทำลายประกายแสงในดวงตาของทาคาโอะไปเท่าไหร่ หัวใจก็เต้นแผ่วลงเท่านั้น ทาคาโอะก็ก้าวออกจากเงาของเขาไปแล้ว
                มิโดริมะกำมือแน่น
                ไม่ มันยังไม่จบ เขารับไม่ได้
                คลายมือออก ถอนหายใจ ฝ่ามือเป็นแผลเพราะเล็บจิกเข้าเนื้อ
            อย่าไปจากฉันเลย...

               
                การซ้อมชะงักเพราะฝนอีกตามเคย คุโรโกะว่าจะรอฝนให้ซาลงก่อน ในขณะที่คางามิใจร้อนจะฝ่าฝนกลับเหมือนเมื่อวาน ดีว่าคราวนี้คางามิเตรียมร่มใหญ่มากาง แถมยังเอาร่มรุ่นพี่โคกาเนอิมาคืนด้วย คุโรโกะสงสัยว่าพักนี้คางามิทำตัวแปลก แต่เขาไม่ละลาบละล้วง เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และไม่ส่งผลเสียต่อทีม
                “คุโรโกะ มือถือนายดังน่ะ” ฟุริฮาตะตะโกนบอก คุโรโกะขานรับขอบคุณ แล้วเปิดกระเป๋าตัวเอง
                ชื่อมิโดริมะขึ้นหรา นานๆ ที เพื่อนร่วมทีมคนนี้ถึงจะโทรมา นี่ขาดลัคกี้ไอเท็มอะไรอีกหรือเปล่าเนี่ย? เขาคิดก่อนกดรับ           “ครับ มิโดริมะคุง”
                คุโรโกะ ฉันมีเรื่องจะถาม
                “ครับ ถามมาได้เลย แต่เสียงดังหน่อยนะครับ ฝนตกหนักผมไม่ค่อยได้ยิน” คุโรโกะคะเนจากเสียงฝนกระทบพื้นนอกโรงยิมผสมกับเสียงฟ้าร้อง
                อ่า...คือว่า เมื่อครู่นี้ฉันไปบ้านทาคาโอะ...แล้วทาคาโอะ...เอ่อ ไม่อยู่บ้าน แม่ของทาคาโอะบอกว่าหมอนั่นไปค้างบ้านเพื่อน..แล้วก็...”
                “เดี๋ยวนะครับ” คุโรโกะเอ่ยขัด มิโดริมะอารัมภบทยาวมาก และพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา “ทำไมคุณถึงมาถามผมล่ะครับ”
                มิโดริมะกระแอม แม่หมอนั่นเล่าว่าเมื่อตอนใกล้เที่ยง หมอนั่นกลับมาขนเสื้อผ้ากับหนังสือไปค้างบ้านเพื่อนต่อ
                คุโรโกะขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่ามิโดริมะหมายถึงอะไร และต้องการจะถามเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมถึงมีชื่อทาคาโอะติดมาด้วยก็ไม่รู้ “อธิบายให้ชัดเจนหน่อยได้มั้ยครับ”
                ได้ยินเสียงถอนใจยาวเหยียดของมิโดริมะ ช่างมันเถอะ
                วางสายทิ้งไป คุโรโกะลดมือที่ถือโทรศัพท์ลง มิโดริมะยังชอบทำให้คนรอบข้างหัวหมุนอยู่ตามเคย แต่...การที่โทรมาหาเขาพร้อมด้วยเรื่องของทาคาโอะ ไม่น่าใช่เรื่องผิดพลาด มิโดริมะคุงคิดว่าทาคาโอะคุงจะมาค้างบ้านเขาหรือ...
                สักพักก็มีเสียงไลน์เตือน มิโดริมะส่งข้อความมา ถามว่า บ้านของคางามิอยู่ที่ไหน
                คุโรโกะจึงเชื่อมโยงเรื่องน่าปวดหัวนี้เข้ากับคู่หูของตัวเอง แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่ยอมบอกที่อยู่ของเพื่อนไป


                ทาคาโอะทำอาหารมื้อเย็นเสร็จพอดีตอนคางามิมาถึงที่ห้อง เขาทำอาหารญี่ปุ่นแบบอลังการโดยไปซื้อวัตถุดิบเพิ่มจากซุปเปอร์มาเก็ตหลังจากไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านด้วย ระหว่างช่วยกันจัดโต๊ะ เขาก็อ้อนว่าขอค้างที่นี่ต่อ ซึ่งคางามิก็ไม่ได้ขัดข้อง บอกดีซะอีกมีคนช่วยทำงานบ้าน ทาคาโอะเลยบุ้ยปากใส่ มื้อเย็นผ่อนคลายและสนุกสนาน หลังทานข้าวล้างจานเสร็จ ทาคาโอะก็ช่วยสอนการบ้านคางามิด้วย ปกติเขาก็ไม่ใช่เด็กตั้งใจเรียนหรอก แต่เพราะความไม่ถนัดภาษาญี่ปุ่นของคางามิทำให้เขาได้มีโอกาสเป็นคุณครูกับเขาบ้าง เขาสอนไป แอบแทรกมุกตากแบงค์ของคางามิไปด้วย แน่นอนว่าทำคางามิอายจนค้อนควับใส่เขา บอกแค่ว่าหวังดี กลัวหมึกบนแบงค์ละลายจนใช้ไม่ได้ เลยตากให้ ทาคาโอะทุบโต๊ะไปขำไป
                พวกเขาผลัดกันอาบน้ำ มานั่งพิงกันดูข่าว ฝนซาแล้วเสาอากาศจึงรับสัญญาณได้ พวกเขาดูข่าวการเมืองในรัฐสภา แล้วก็เปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ คางามิแกล้งเปลี่ยนช่องติดๆ กัน เพื่อให้ทาคาโอะนำคำพูดแต่ละเรื่องของแต่ละช่องมาต่อกันเป็นมุกตลกเรื่องเดียวกัน
                “อะแฮ่ม ฟังข้ามคำว่าตี๊ดไปนะ” ทาคาโอะกระแอม พร้อมบอกกติกา ก่อนจะดัดเสียงแหลมปี๊ด
                “สวัสดีค่ะ ท่านผู้ชมทุกท่าน วันนี้ดิฉันขอนำเสนอข่าว ตี๊ด--- คู่รักดาราประกาศหมั้นกลาง ตี๊ด--- สวนสัตว์เชียงใหม่ประเทศไทยยินดีที่ได้ลูกแพนด้าตัวน้อยนามว่า ตี๊ด--- ฟ้าไพศาลอันกว้างใหญ่ โบยบินไปให้สุดขอบ ตี๊ด---กางเกงในแอร์โรว์ ชั้นในที่ผู้ชายเลือก ---ตี๊ด รับประทาน เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของวัยหมดประจำเดือน...”
                “ฮ่าๆๆ” คางามิขำเสียงดัง “ตกลงมันคือข่าวที่นำเสนอเกี่ยวกับคู่รักที่หมั้นกลางสวนสัตว์เชียงใหม่ประเทศไทยที่ได้ลูกแพนด้าชื่อว่าฟ้าไพศาลที่โบยบินไปจนสุดขอบกางเกงในแอร์โร่ที่ผู้ชายวัยหมดประจำเดือนเลือกรับประทานสินะ โอ้ยยย ผู้ชายหมดประจำเดือนเนี่ยนะ ฮ่าๆๆ”
                “ที่งี้สรุปคล่องเชียวนะ” ทาคาโอะล้อ ถองศอกใส่ พวกเขาจ้องตากัน แล้วหัวเราะใส่กันอีก ก่อนจะจบลงด้วยอาการเหนื่อยหอบ ทาคาโอะเอนพิงคางามิ ไถศีรษะใส่ คางามิบอกว่าจั๊กจี้ ทาคาโอะจึงช้อนหน้าจิกตาใส่ แต่คางามิคิดว่ามันดูเหมือนลูกนกที่กำลังงอนมากกว่า จนคางามิอดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายเริ่มจูบก่อน ทาคาโอะเผยอกลีบปาก ยอมรับการรุกล้ำ เขาไม่ได้สังเกตุเลยว่ามือถือบนโต๊ะสว่างวาบและสั่นครืด


                มิโดริมะกดตัดสายทิ้ง แล้วโทรใหม่อีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝั่ง เขาฟังเสียงระบบอัตโนมัติอย่างท้อใจ  จึงกดวาง คว่ำจอกับโต๊ะทำงาน แล้วเขาก็วางหน้าผากลงบนสมุดการบ้าน ดวงตาหลังแว่นหรี่ลง

                แว่วได้ยินเสียงนักข่าวพยากรณ์อากาศจากโทรทัศน์ รายงานว่าพรุ่งนี้อาจจะมีพายุเข้า





วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

Fanfic KNB [Kagami x Takao] : Rain in your eyes [3]




fiction  : Rain in your eyes 3
Author : froridy
Relationships : Kagami Taiga x Takao kazunari / Midorima x Takao
Fandom  : Kuroko no basuke
Warning  : Yaoi
Note : -----
Summary: พวกเขาแบ่งปันรสชาติของน้ำตา พร้อมซึมซับความจริงที่ว่า...รักช่วงชิงความหวังไป








                ทาคาโอะยังเฝ้าคิดถึงมือที่เกาะกุมกันบนด้ามร่ม เขารับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณและความรู้สึกสั่นสะท้านใจในว่าความสัมพันธ์บางอย่างที่เกินกว่าจะนิยามด้วยคำว่าเพื่อนกำลังเริ่มต้นขึ้น มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร และมันใช่จุดเริ่มต้นของความรักจริงๆ น่ะหรือ
                เขาเหม่อมองจอโทรศัพท์ หน้าวิตเจ็ตพื้นหลังสีแดงอมส้ม สื่อถึงความอบอุ่นยามเย็นของอาทิตย์อัสดง ทาคาโอะไม่ได้รู้สึกรอคอยหรือคาดหวังจนกระวนกระวาย คางามิไม่เคยมีอิทธิพลต่อหัวใจขนาดนั้น แต่อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันกับคางามิคือความสุข และมือที่กุมกันก็อบอุ่นเกินจะคลายออก ทาคาโอะจุดยิ้มบางเบาที่มุมปาก เขาเปิดไลน์ ส่งข้อความหาคางามิ ไม่นานคางามิก็ตอบกลับด้วยภาษาญี่ปุ่นที่เขียนเป็นฮิรางานะทั้งหมด ทาคาโอะสังเกตเห็นความไม่ถนัดถนี่และเวลาทิ้งช่วงห่าง เหมือนคางามิกำลังคิดคำศัพท์อยู่
                นายจะใช้ภาษาอังกฤษก็ได้
                ทาคาโอะบอกไป เขาประหลาดใจเมื่อคางามิส่งสติ๊กเกอร์อารมณ์เกรงใจกลับมา สักพักก็ต้องกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ เพราะอาจารย์กำลังสอนหน้าห้องอยู่ พยายามหักห้ามความคิดซุกซนว่าคางามิก็น่ารักดีเหมือนกัน ทาคาโอะส่งสติ๊กเกอร์โนพร้อบเบล็มกลับไป พร้อมข้อความยืนยันว่าเขาเก่งไวยกรณ์อังกฤษ เพียงเท่านั้นคางามิก็สื่อสารผ่านไลน์เป็นไฟ ถึงดูออกว่าจะใช้ศัพท์ง่าย แต่ก็ใช้คำแสลงเพียบ โชคดีว่าทาคาโอะชอบแชทกับเพื่อนต่างประเทศประจำอยู่แล้ว การสนทนาจึงเป็นไปอย่างราบรื่น

            มีความสุขจัง

                ทาคาโอะซุกหน้าลงกับท่อนแขนของตัวเอง เขาหน้าแดงเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวันอาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็นตอนถ่ายรูปหรือตอนเดินกลับบ้าน หัวใจไม่ได้เต้นระส่ำขนาดนั้น สมองก็ไม่ได้เอาแต่คิดถึงจนไม่เป็นทำอะไร แต่มันคือความรู้สึกที่นึกถึงคราใด ก็เหมือนหยดน้ำลงในหัวใจที่แห้งผาก ท้องฟ้าอึมครึมเหมือนมีแสงสว่างส่องลงมา
                “ครูดีใจที่เธอใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมากนะทาคาโอะ” อาจารย์ยืนค้ำหัวเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ แถมดวงตาที่ลอดผ่านแว่นนั้นยังมีแววคุกกรุ่น ริมฝีปากแสยะเหี้ยม ทาคาโอะกระพริบตา เหงื่อตก ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ
                “ดะ เดี๋ยวสิครับครู” อาจารย์หยิบมือถือไปจากมือเขา “ตั้งใจเรียน ท้ายคาบค่อยไปเอาที่ห้องพักครูนะ โอ๊ะ ดูเหมือนเพื่อนเธอจะเป็นห่วงนะ ถามใหญ่เลยว่าทำไมเธอเงียบไป ให้ครูตอบแทนไหม?
                “ม...ไม่ต้องครับ”
                อาจารย์เก็บมือถือเขาลงในกระเป๋าเสื้อ “ก็ดี เขียงเรียงความภาษาอังกฤษสามแผ่นมาส่งครูด้วย โอเค...เรามาว่ากันต่อที่หน้า...” อาจารย์ทิ้งท้ายแล้วหันไปสอนต่อ ทาคาโอะคอตก เขาขยี้หัวอย่างหงุดหงิด บ่นพึมพำในใจแล้วเอาหน้าผากโขกกับโต๊ะจนอาจารย์เอ็ดด้วยความรำคาญ แล้วสั่งให้เขาเขียนเรียงความเพิ่มเป็นห้าแผ่น


                ท้ายคาบก่อนเที่ยง ทาคาโอะชูกระดาษให้มิโดริมะดู “นี่ๆ ชินจัง ช่วยตรวจให้ฉันหน่อยสิว่าโอเคหรือยัง” ปกติมิโดริมะต้องรับไปกวาดตาดูคร่าวๆ แล้วตอบ แต่คราวนี้มิโดริมะกับใช้มือกวาดออก “ตรวจดูเอาเอง ฉันมีธุระ”
                “ธุระอะไร เราต้องไปชมรมด้วยกันไม่ใช่หรอ” ทาคาโอะเอียงคอ มิโดริมะบอกปัด “ไม่ใช่เรื่องของนาย”
                เหมือนมีหินตกลงมาทับหัวใจของเขา แค่คำตอบเย็นชานั่นก็มากพอจะทำให้เขาอ้ำอึ้ง
                “แล้ว...ไม่ทานข้าวกลางวันด้วยกันหรอ” ทาคาโอะถามด้วยสีหน้าที่ยังรักษาอารมณ์ร่าเริงไว้ได้ดี มิโดริมะจ้องกลับมานิ่งๆ แล้วลุกจากเก้าอี้
                “ชินจัง นายโกรธอะไรฉันหรือเปล่า” ทาคาโอะลุกตาม มิโดริมะเบือนมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชากว่าเดิม
                “นี่ บอกกันตรงๆ สิ ฉันขอโทษนะ” ทำเสียงอ้อนแล้วยิ้มให้ มือจับที่แขนเสื้อมิโดริมะ เหมือนเช่นทุกทีที่เขาทำชินจังโกรธ ก็จะใช้วิธีเข้าไปกวน เอ่ยขอโทษเนียนๆ และทำเป็นลืมไปว่าโดนโมโห มิโดริมะจะอ่อนใจจนระอาไปเอง
                “ชินจังงง”
                ฟึ่บ!
                มิโดริมะปัดมือทาคาโอะออก “วันนี้ฉันจะไปคนเดียว”
                ยิ้มของทาคาโอะคลายลง สีหน้าร่าเริงหายไปพลัน เป็นครั้งแรกที่ทาคาโอะไม่ซ่อนอารมณ์ และดูเหมือนจะเผลอแสดงความรู้สึกเจ็บปวดระคนช็อคผ่านสายตาไปด้วย
                มิโดริมะชะงัก แต่เมื่อคิดถึงแผ่นหลังข้างหน้าที่สั่นจากการหัวเราะคิกคักแล้วเขาก็ตัดสินใจเหมือนเดิม
                “ฉันจะไปคนเดียว” ย้ำหนักแน่น หันหลังให้
                ทาคาโอะก้มหน้าลงมองกระดาษในมือ เขาเม้มปาก และก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเมื่อเพื่อนคนอื่นตะโกนเรียกเขาให้ไปช่วยเรียบเรียงประโยคภาษาอังกฤษให้ มิโดริมะไปจากหน้าประตูห้องแล้ว  
                เมื่อสอนเสร็จ เพื่อนก็กล่าวขอบคุณและชวนเขาทานกลางวัน ทาคาโอะปฏิเสธ ชูกระดาษให้ดูแล้วบอกว่าจะไปเอามือถือคืนจากอาจารย์ด้วย เพื่อนๆ หัวเราะครืนเมื่อทาคาโอะทำหน้าม่อยตอนเดินออกจากห้อง ส่งเสียงเชียร์ทาคาโอะให้ได้มือถือคืนมาโดยสวัสดิภาพ เมื่อพ้นเขตห้อง ริมฝีปากของทาคาโอะกลายเป็นเส้นตรง และดูเหมือนตาจะฉ่ำน้ำนิดๆ


               
                คางามิแปลกใจที่ทาคาโอะอ่านแล้วไม่ยอมตอบ บางทีเจ้าตัวอาจจะติดธุระ หรือในกรณีสุ่มเสี่ยงก็คือถูกยึดโทรศัพท์ คางามิโชคดีที่คาบนี้ว่าง อาจารย์วิชาแนะแนวหยุดเพราะป่วยไข้ และตอนนี้กริ่งดังบอกเวลาเลิกแล้ว เขากับคุโรโกะลงไปหาข้าวทานที่โรงอาหาร
                “คุณดูมีความสุขนะครับ” คุโรโกะชวนคุย “ผมเห็นคุณคุยไลน์เกือบทั้งชั่วโมงเลย”
                “อืม คุยกับเพื่อนน่ะ ฉันดีใจที่เขายอมใช้ภาษาอังกฤษคุยกับฉัน” คางามิบอก เขาหันไปหาคุโรโกะ “ฉันจะซื้อข้าวแกงกะหรี่ไก่ นายจะเอาด้วยมั้ย”
                “ก็ดีครับ รบกวนด้วยนะครับ”
                “โอเค ไปรอที่โต๊ะนะ” คางามิบอก ขืนให้คุโรโกะไปต่อไม่รู้ว่าชาติไหนจะได้ ยิ่งคนเยอะๆ แบบนี้คงถูกผลักกระเด็น ไม่ก็แม่ค้ามองข้ามเพราะมองไม่เห็น แล้วคุโรโกะก็จะจ่ายเงินอย่างลี้ลับ และถือถาดลอยได้ออกมา...
                เขาสะบัดหน้าสลัดความฟุ้งซ่านระหว่างเดินไปต่อแถว กลิ่นแกงกะหรี่ไก่หอมฉุยยั่วน้ำลาย คางามิวางแผนว่าจะสั่งแบบคอมโบ แล้วภาพทาคาโอะก็แวบเข้ามา เขาก็รวบมาคิดไปด้วยเลยว่าสัปดาห์หน้าถ้าว่างตรงกัน เขาจะชวนทาคาโอะมาทำแกงกะหรี่ก็แล้วกัน
                จะว่าไป สัมผัสเย็นบนมือทาคาโอะก็ให้ความรู้สึกไม่เลวเลย เขานึกแล้วยิ้ม ไพล่นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เขาวางมือบนไหล่ของฮิมุโระด้วย นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ยิ้มจางไปตอนที่คิวของเขามาถึง และแม่ค้าถามว่าจะสั่งอะไรบ้าง
               
                “ทานแค่นั้นเองหรอครับ” คุโรโกะถามตอนเห็นเขายกมาเพียงสองถาด คางามิยกไหล่ “นี่ก็เยอะแล้วนะ” พลางวาดถาดหนึ่งตรงหน้าคุโรโกะ เด็กหนุ่มกล่าวขอบคุณคู่หู และแสดงความคิดเห็นว่า “ปกติคุณต้องทานเยอะกว่านี้ครับ”
                “งั้นหรอ” คางามิมองแกงกะหรี่เพิ่มข้าวและกับพิเศษ มันยังเยอะอยู่นั่นแหละ แต่น้อยกว่าปกติอย่างที่คุโรโกะว่า
                “เป็นอะไรไปครับ คุณดูซึมลงนะ” คุโรโกะถามหลังจากกล่าวคำว่า อิทาดะคิมัส
                “หืม เปล่านี่ จริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
                “ตอบอะไรของคุณน่ะครับ คิดว่าผมจะแปลได้หรอ” คุโรโกะหัวเราะเล็กน้อย คางามิยักไหล่
                “ไม่รู้ ฉันหิวแล้ว” ตักข้าวเคี้ยวหยับๆ คุโรโกะส่ายหน้า เบี่ยงคำถามด้วยการบอกว่าหิวนี่มันสมกับเป็นคางามิจริงๆ เด็กหนุ่มไม่เซ้าซี้ต่อ ลงมือรับประทานบ้าง
                พอทานเสร็จ เขากับคุโรโกะเดินไปใต้ตึก กดตู้เครื่องดื่มมาคนละกล่อง คุโรโกะดื่มรสวานิลา คางามิเลือกรสช็อคโกแล็ต ดื่มเสร็จคุโรโกะก็ขอตัวไปห้องสมุดเพราะเขาเป็นเวรวันนี้ ส่วนคางามิยังคงเดินย่อยอาหารต่อไป เขานั่งพักใต้ร่มเงาของต้นไม้ ถึงแดดจะร้อน แต่ไม่ไกลมีเมฆอึมครึมสีเทากำลังเคลื่อนตัวเข้ามา ฝนอาจจะตกเย็นนี้อีก นี่เป็นสิ่งที่ไม่น่าพิศมัยเลย คางามิไม่ได้เอาร่มมาด้วย
                สะดุ้งโหยงเมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นครืด เขาหยิบออกมา กดเปิดหน้าจอ เห็นข้อความถูกส่งมาจากทาคาโอะ จึงรีบเปิดดูแล้วพิมพ์ตอบ ทาคาโอะใช้เป็นภาษาญี่ปุ่นง่ายๆ
                โทษทีน้า พอดีมือถือฉันถูกยึด เพิ่งได้คืนเนี่ย
                ‘ไม่เป็นไรคางามิตอบสั้นๆ เพราะไม่ถนัดภาษาญี่ปุ่นทำให้ต้องจำกัดคำ ทั้งที่อยากพิมพ์ยาวกว่านี้
                วันนี้ชมรมฉันเลิกตอนสี่โมงล่ะ โค้ชกลัวฝนจะตกหนักแล้วเรากลับกันไม่ได้
                อืม โค้ชนายใจดีคางามิกุมหัว เขาใช้คำเหมือนเด็กที่กล่าวชมว่า คุณครูใจดีจังเลย
                ทาคาโอะหัวเราะกลับมา ส่งสติ๊กเกอร์ล้อเขาด้วย แถมยังชมว่าเขาน่ารักอีก คางามิหน้าแดง ขยุ้มผมตัวเอง และพิมพ์ขอให้อีกฝ่ายใช้ภาษาอังกฤษแทน แต่ยังไม่ทันกดส่ง ทาคาโอะก็ถามมาว่า
                ชมรมนายเลิกกี่โมงอ่ะ
                ‘น่าจะเย็นๆคางามิตอบ เขาเดาจากฮิวงะและริโกะที่เข้มงวดหลังการแข่งขึ้นเป็นเท่าตัว
                อ่า สู้ๆนะ ฉันไปทานมื้อเที่ยงก่อน
                ‘อืม
                คางามิกดปิดมือถือ ดูนาฬิกาว่าใกล้จะบ่ายโมงแล้ว ทาคาโอะทานข้าวช้าแบบนี้เสมอเลยหรือ



                ทาคาโอะซื้อขนมปังแถวเล็กมาทาน เขาไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ หลังเอนพิงกำแพงกั้นขอบดาดฟ้า เงยมองเมฆสีเทาที่เคลื่อนบดบังดวงอาทิตย์ อากาศยังอบอ้าวอยู่ เขาปลดกระดุมสองเม็ด โบกมือพัดลมให้ตัวเอง เคี้ยวขนมปังพลางทอดสายตาไปให้ไกลกว่าเมฆ มือถือวางอยู่ข้างกาย การได้คุยกับคางามิทำให้เขารู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย ความเป็นธรรมชาติอันจริงใจของอีกฝ่ายจุดความร่าเริงให้เขาอีกครั้ง แต่มันก็หายวับไปเหมือนเวทมนต์ลวงตาตอนที่ขอตัวไปทานมื้อเที่ยง
                ถ้าทำได้ทาคาโอะอยากจะอารมณ์ดีตลอดเวลาเพราะใครบางคน แต่เขาคงไปเกาะติดคางามิทุกเวลาไม่ได้ เพราะเขากับคางามิต่างก็มีโลกเป็นของตน และการโคจรมาพบกันจนเกิดมิตรภาพคาดเดาได้ยากเช่นเมื่อวาน มันก็อาจจะไม่ไปไกลเกินกว่านี้แล้วก็ได้ ทาคาโอะรับรู้ได้ถึงตอนที่หัวใจตีบตันเพราะมิโดริมะเพียงแค่เย็นชาใส่ เขารู้ว่านี่สิถึงจะเป็นความรัก เพราะความเจ็บปวดของเขาไปขึ้นอยู่กับการกระทำของอีกคนหนึ่ง หัวใจของเขาจะถูกบีบให้สลายยังไงก็ได้ เพราะมันไม่ได้อยู่ในอกเขาแล้ว
                “อ๊ะ” เขากัดปากตัวเองจนเป็นแผล จึงยกนิ้วโป้งเช็ดลวกๆ แล้วหยิบขวดน้ำเย็นมาแนบ เด็กหนุ่มหลับตาลง เขาอยากงีบสักพักหนึ่ง ถึงการนอนหลังกินจะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างที่คางามิเคยบอกก็ตาม
                เขาอยากจะพัก เพื่อที่จะตื่นไปฉีกยิ้มใส่มิโดริมะได้อีกครั้ง

               
                สุดท้ายแล้วทาคาโอะก็มาถึงชมรมในสภาพหมดพลัง เขานอนไม่หลับ ปวดหัวนิดหน่อยตอนที่มิยาจิทักว่าเขาทำหน้าเหมือนตูด ทาคาโอะหัวเราะกลับไป เอามือทาบหน้าผากตัวเองพบว่าไม่ได้เป็นไข้ คงจะเป็นผลมาจากความคิดมากนั่นแหละ มิโดริมะเข้ามาในห้องชมรม ทาคาโอะกล่าวทักทายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มิโดริมะไม่ตอบสนอง คว้าผ้าขนหนูซับเหงื่อออกไปจากห้อง และมิยาจิก็มองเอซร่างสูงตาค้าง
                “นี่ไปทำหมอนั่นโกรธอีกแล้วสิท่า” โคลงหัวพร้อมทำหน้าระอา มิยาจิหวังว่าทาคาโอะจะขำกลับ แต่รุ่นน้องตัวแสบกลับหันหน้าเข้าหาล็อคเกอร์ ด้วยสีหน้าซึมเศร้าที่ปิดไม่มิด
                “เฮ้ ทาคาโอะ”
                ทาคาโอะสะดุ้ง ปรับสีหน้าเป็นสดใส แม้หางตาจะยังตกอยู่ก็ตาม “ผมคงต้องซื้อลัคกี้ไอเท็มไปง้ออีกแล้วสิเนี่ย”
                มิยาจิกำลังจะพูดว่า รีบๆ ง้อซะ อย่าให้มันส่งผลเสียกับทีม แต่เขาก็พูดไม่ออก รู้สึกจุกในลำคอ เพราะเสียงของทาคาโอะแปลกไป มันสั่นเครือเล็กน้อย จึงได้แต่ตบไหล่ทาคาโอะเบาๆ “ถ้าหมอนั่นยังดื้ออยู่ล่ะก็ มาบอกฉัน เดี๋ยวจะจับไปปรับทัศนคติให้เอง”
                “โห นี่ผมมีแบ็คอัพสุดยอดเลยอ่ะ ฮ่าๆ” ทาคาโอะล้อ เลยโดนทุบหัวหนึ่งที มิยาจิโบกมือไล่ “ไปซ้อมได้แล้วเจ้าบ้า”
                “คร้าบผม”

                ถึงมิโดริมะจะไม่คุยด้วย แต่ก็ยังประสานงานกับทาคาโอะได้ดีเหมือนเดิม มิโดริมะไม่ค่อยยอมให้ปัญหาส่วนตัวกระทบกับการแข่งขันอยู่แล้ว นั่นเป็นสิ่งที่ทาคาโอะนับถือ ช่วงแรกๆ ตอนเพิ่งเข้าปีหนึ่ง ถึงเขาจะขวางหูขวางตามิโดริมะแค่ไหน แต่มิโดริมะก็ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวทำทีมเสีย ทว่าตอนนี้ความนับถือเปลี่ยนเป็นความน้อยใจ นี่มันเหมือนกับว่าเขาไม่สำคัญพอจะทำให้มิโดริมะเห็นแก่ตัวหรือผละสายตาจากชัยชนะได้ ซึ่งมันก็ดีแล้วสำหรับผู้มุ่งหวังสู่ชัยชนะอย่างพวกเขา แต่ลึกลงไปในใจ ทาคาโอะถูกความพ่ายแพ้กอดไว้ตลอดมา
                ชมรมเลิกตอนสี่โมงอย่างที่โค้ชบอกไว้จริงๆ และฝนก็เริ่มโปรยเม็ดลงมาประปราย
                ทาคาโอะยังไม่ละความพยายาม เขาตามง้อมิโดริมะ ยิ่งสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้เอาร่มมา เขาก็ยิ่งตื๊อว่าเดี๋ยวจะเดินกางร่มให้ตลอดทางกลับบ้านเลย มิโดริมะหยุดเดินกระทันหัน และทาคาโอะก็ชนกับหลังสูงใหญ่เพราะเบรกไม่ทัน
                “ชินจัง จะหยุดก็เตือนกันบ้างสิ” ทาคาโอะบ่น
                “พอได้แล้ว” มิโดริมะกล่าวเสียงเบา ทว่าไม่ถูกเสียงฝนนอกอาคารกลบไป
                ทาคาโอะถอนหายใจ แต่ก็ยังยิ้มอยู่ “นี่ อย่างน้อยเอาร่มไปก็ได้ เอซจะป่วยเพราะเดินฝ่าฝนไม่ได้นะ” ทาคาโอะใช้ร่มกระทุ้งสีข้างเพื่อน
                มิโดริมะฉุนจัด เขาปัดร่มกระเด็น
                “ฉันบอกให้พอได้แล้วไง!
                เสียงดังก้องไปทั่วโถงทางเดิน เขาหันมาหาทาคาโอะด้วยความกราดเกรี้ยว แล้วรู้สึกหวิววูบในใจเมื่อเห็นทาคาโอะจ้องเขาด้วยสายตาเจ็บปวด
                ร่มที่แอ้งแม้งบนพื้น...ไม่ใช่ร่มสีแดง
                “ท..ทาคา--
                “ขอโทษนะ” ทาคาโอะเอ่ยอีกครั้ง ก้มลงเก็บร่มบนพื้น แล้วเงยหน้าส่งยิ้มบางฝืดฝืนให้ เขาดึงมือมิโดริมะมาแล้วยัดร่มใส่ “ยังไงก็ใช้ด้วยล่ะ ฉันไม่อยากให้เอซป่วยหรอกนะ”
                ฟ้าร้องครืนตอนที่ทาคาโอะวิ่งออกไป มิโดริมะยืนนิ่งค้าง ความสับสนประเดประดัง ทิฐิรูดซิปปาก และตรึงเท้าไว้กับที่ เขาทุบกำปั้นกับกำแพง ซบหน้าผากลงกับซีเมนต์เย็นเฉียบ

                เพราะทาคาโอะนั่นแหละผิด...
                เพราะทาคาโอะกางร่มสีแดงอยู่ท่ามกลางสายฝนกับใครอีกคนที่ไม่ใช่เขา

                มิโดริมะกุมอกซ้ายของตัวเอง

                เขาไม่อาจวิ่งตามเหยี่ยวที่บินหายไปกลางฝนนั้นได้เลย...



                ไฟในโรงยิมดับตอนที่ฟ้าผ่าลั่น ฝนตกกระหน่ำดังแทบทะลุหลังคาโรงยิมออกมา ฮิวงะสั่งหยุดซ้อม ริโกะเห็นด้วยเพราะในโรงยิมตอนนี้มืดเพราะเมฆฝนข้างนอก ขืนฝืนฝึกซ้อมต่อไปอาจจะหกล้มเกิดอุบัติเหตุกันได้ สมาชิกส่วนใหญ่รอให้ฝนเบากว่านี้แล้วค่อยกลับบ้าน แต่คางามิอยู่ไม่สุข เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างน่าประหลาด และด้วยความง่ายเฉพาะตนจึงเหมารวมอาการนี้ไปกับคำว่า หิว
                “ฉันกลับก่อนนะ”
                “คางามิคุงไม่ได้เอาร่มมาไม่ใช่หรอครับ” คุโรโกะเตือน “ตากฝนเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกครับ”
                “นั่นสิ ฉันก็ลืมไป” คางามิพึมพำ
                มิโตเบะสะกิดโคกาเนอิเมื่อเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของคางามิ โคกาเนอิหันไปรับสารจากเพื่อนสนิท แล้วถ่ายทอดให้คางามิฟังว่า “ยืมร่มของฉันก็ได้นะ ยังไงหมอนี่ก็มีร่มอีกคัน เราใช้ร่มเดียวกันได้”
                “เอ๋ จะดีหรอครับ”
                “ดีสิ นี่ๆ เอาไปเลย” โคกาเนอิรื้อกระเป๋าและโยนให้ แน่นอนว่าคางามิรับไม่พลาด
                “ขอบคุณครับ” เขากล่าว และโค้งให้อย่างงกๆเงิ่นๆ คุโรโกะบอกให้เขาไม่ต้องรีบเดินเดี๋ยวลื่น คางามิโบกมือให้ ขานรับกับความเป็นห่วงของคู่หู เมื่อออกมาจากโรงเรียน คางามิก็ยิ่งงงกับตัวเอง ไม่รู้จะออกมาก่อนทำไม เขาตัดสินใจว่าจะเดินกลับบ้านแล้วกัน และตอนนั้นเองเขาก็เห็นร่างที่ยืนพิงป้ายหน้าโรงเรียนอยู่ ร่างเปียกปอนนั้นเงยขึ้น ส่งยิ้มแห้งแล้งให้เขา ผมสีดำปรกหน้าซีดเซียว
                คางามิแทบจะทิ้งร่มด้วยความเป็นห่วง แต่เขาก็ตั้งสติยึดด้ามให้มั่น ก้าวเข้าไป เอนร่มให้อยู่เหนือศีรษะของอีกฝ่าย
                “ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ” คางามิถาม ทาคาโอะหัวเราะในลำคอ ก่อนจะตอบว่า “ไม่รู้สิ”
                ความจริงแล้วทาคาโอะตั้งใจมาที่นี่ ถึงรู้ว่าอาจจะมาในช่วงเวลาที่คางามิไม่สะดวกก็ตาม แต่มาด้วยแรงจูงใจอะไรนั้นทาคาโอะไม่อยากจะพูดถึง
                “ถ้างั้น...ไปหาอะไรกินกันมั้ย”
                “อืม...นายทำอะไรก็ได้ให้ทานหน่อยสิ”
                “ได้สิ” คางามิตอบ เขาดึงทาคาโอะเข้าร่ม และทาคาโอะก็พิงเขาตลอดทางกลับบ้าน


                หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนมาใส่ชุดของคางามิเรียบร้อย เขาก็นั่งมองคางามิเคลื่อนไหวในครัว คางามิทำไข่ออมเล็ตให้ทาน และก็ไม่ตำหนิเลยเมื่อเขาทานได้เพียงน้อยนิด
                เหมือนวันแรกที่เขามาที่ห้องนี้ พวกเขาลงท้ายด้วยการนั่งดูการ์ตูนจากหน้าจอโทรทัศน์ ต่างกันตรงที่เพราะฝนตกหนักมาก จึงเปิดรับสัญญาณจากเสาอากาศไม่ได้ คางามิเลยเปิดซีดีแทน
                “นายไม่ได้ใช้ร่มที่ให้ยืมไปเลยหรือไง” คางามิทำลายความเงียบขึ้น ทาคาโอะส่ายหน้า “ฉันเอาไว้ที่บ้านน่ะ”
                “แล้วไม่พกร่มเก็บไว้ในล็อกเกอร์โรงเรียนเลยหรอ”
                “ก็มีนะ...แต่” ทาคาโอะหยุดพูด ปล่อยให้ใจความค้างเติ่งอยู่แบบนั้น คางามิถอนใจเบาๆ พลางเอ่ยถามว่า
                “อยากร้องไห้ไหม”
                ทาคาโอะเหลือบตามอง “ไม่เอาหรอก แค่ตอนนั้นฉันก็อายจะแย่อยู่แล้ว”
                คางามิตบไหล่ “ถ้างั้นเอนหัวมา”
                “บ้าหรอ ฉันเขินนะ ฮ่าๆ” ทาคาโอะแกล้งบิดตัว แต่หน้าเขาไม่เปลี่ยนตามกิริยา มันยังคงฉายแววเศร้าทุกตารางนิ้ว ทาคาโอะจ้องคางามิแล้วคลี่ยิ้ม ดวงตาเริ่มชื้นจนเอ่อล้นออกมา คางามิยกนิ้วเช็ดออกให้ แต่มันก็ยังไหลมาอีกเรื่อยๆ คางามิเองก็ยิ้มอ่อนๆ ให้ไม่ได้อีกแล้วเหมือนกัน
                เสียงฝนคลอกับเสียงโทรทัศน์ ประสานกันเหมือนดนตรีอันว้าวุ่นที่บรรเลงอยู่ในหัวใจของคนทั้งคู่ ปัจจุบันค่อยๆ ถูกผลักออก ความปวดร้าวถูกปิดทับด้วยริมฝีปากที่เคลื่อนเข้าหากัน
                หลังของทาคาโอะสัมผัสกับโซฟา เขาโอบคางามิ และคางามิก็ทาบริมฝีปากอย่างนุ่มนวล ไร้คำพูด มีเพียงภาษากาย และสัญชาตญาณขับเคลื่อน
                ฝนสาดซัดเข้าใส่หน้าต่างทุกบาน หยดน้ำไหลลงมาเป็นสาย ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่มีแสงสว่างเล็กน้อย พวกเขาแบ่งปันรสชาติของน้ำตา พร้อมซึมซับความจริงที่ว่า...รักช่วงชิงความหวังไป