วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

Fanfic KNB [Kagami x Takao] : Rain in your eyes [2]





fiction  : Rain in your eyes 2
Author : froridy
Relationships : Kagami Taiga x Takao kazunari / ? x Takao / Kagami x Himuro / Murasakibara x Himuro
Fandom  : Kuroko no basuke
Warning  : Yaoi
Note : -----
Summary: ท่ามกลางสายฝน...


                สายฝนตกประปรายคล้ายละอองน้ำที่ถูกฉีดออกจากขวดสเปรย์ ทาคาโอะกางร่มสีแดงออกมาจากสถานีรถไฟฟ้า ก้าวเดินไปอย่างไม่เร่งรีบนักพลางนึกถึงครึ่งชั่วโมงก่อนที่โทรไปหาคางามิ ถามว่าอีกฝ่ายว่างไหมจะไปหา แรกๆ คางามิบอกว่าจะออกไปทานข้าวข้างนอก ให้มาเจอกันที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนเลย ทาคาโอะดันเผลอไปถอนหายใจใส่เพราะเขาไม่ค่อยชอบอาหารอิตาเลี่ยน คางามิก็สวนขึ้นทันทีว่าเปลี่ยนเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแทน ทำให้ทาคาโอะละอายใจมาก ปกติไม่ว่าจะไม่ชอบอะไรแค่ไหนเขาก็ไม่เคยปล่อยให้ความต้องการส่วนตัวมารบกวนการใช้ชีวิตของคนอื่น แต่กับคางามิดูเหมือนเขาจะแสดงออกเกินงามไปหน่อย และมันน่าอารมณ์เสียตรงที่คางามิไม่ตำหนิเขาสักแอะ แถมยังตามใจเหมือนเห็นเขาเป็นน้องชายตัวน้อยๆอีก
                “ไม่ต้องคิดมากน่า ฉันไม่ได้อยากทานอะไรเป็นพิเศษ”
                “โกหก” ทาคาโอะยื่นปากใส่หูฟัง “ถ้านายไม่ได้อยากทาน คงไม่วางแผนไว้หรอก”
                คางามิไม่ปฏิเสธ นึกชื่นชมว่ารู้จักกันไม่นานทาคาโอะก็เดาใจเขาออกแล้ว หรือเขาจะเป็นคนเข้าใจง่ายอย่างที่คนอื่นๆ ชอบบอกกันก็ไม่รู้
                “มีสลัดผักมั้ยล่ะ” ทาคาโอะถาม คางามิกวาดตาดูโบรชัวร์ที่ได้รับแจกจากข้างทางเมื่อวาน “มีๆ ลดราคาด้วย”
                “นั่นแหละ ร้านเดิม โอเคนะ” ทาคาโอะวางสาย
                ตอนนี้เด็กหนุ่มใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว ทาคาโอะกำลังจะข้ามถนน เขาตระหนักได้ว่าคางามิโดดเด่นเพียงใดก็ตอนเห็นร่างสูงใหญ่ผมแดงนั่งติดริมกระจก โต๊ะยังว่าง มีแค่โค้กแก้วเดียว ทาคาโอะก้าวฉับๆ ไปผลักประตูร้าน แล้วพุ่งตัวเข้าไปที่โต๊ะริมกระจก
                “เจอกันทีไรถ้าไม่ใช่ในสนามก็ต้องเป็นเรื่องอาหารทุกทีสิน่า” ทาคาโอะทักทายด้วยประโยคล้อเลียน คางามิเลิกคิ้ว ริมฝีปากยังคาบหลอดดูดโคล่าอยู่ ตัวหลอดกระดกขึ้นเมื่อเขากระตุกยิ้ม “ไง เอาร่มมาคืนหรือไง”
                “ไม่อ่ะ ตอนนี้ยังไม่คืน” พนักงานมารับออเดอร์ทันที่ที่ทาคาโอะนั่งลง สั่งสลัดมาจานใหญ่มาทาน
                สเต็กที่คางามิสั่งไว้มาเสิร์ฟก่อน ปริมาณและขนาดทำให้ทาคาโอะตาโต “ทานหมดนี่คนเดียวเลยหรอ”
                “อืม” คางามิตอบแล้วเริ่มใช้มีดตัดเนื้อ เข้าปากหมดไปสามชิ้นก่อนสลัดผักของทาคาโอะจะมาถึงเสียอีก ทาคาโอะถึงกับรำพึงด้วยความพิศวงในใจว่ากระเพาะหมอนี่ทำด้วยอะไร เพราะตัวใหญ่หรอก็ไม่น่าใช่เหตุผล รุ่นพี่ตัวใหญ่ในทีมรวมไปถึงมิโดริมะก็ไม่ได้กินจุกันขนาดนี้ ทาคาโอะรู้สึกอิ่มแทน แต่ปากก็ยังเคี้ยวผักใบเขียวอยู่
                ตอนที่ทำเกี๊ยวซ่ากินกัน คางามิก็ไม่ได้กินมากมายขนาดนี้ด้วย
                “ไม่กลัวอ้วนบ้างหรอเนี่ย? รู้มั้ยว่าทีมฉันถูกโค้ชสั่งให้คุมน้ำหนักด้วย จะได้ไม่ถ่วงตอนเล่นบาส”
                คางามิกลืนคำสุดท้ายลงไป ดื่มโคล่า ก่อนจะตอบว่า “ ระบบเผาผลาญฉันดีเกินไปน่ะ ไม่ว่าจะกินอะไรร่างกายก็นำไปใช้พลังงานจนหมด พอพลังหมดก็หิวเหมือนจะตายเลยล่ะ อีกอย่างโค้ชทีมฉันเน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและโปรตีนมากกว่า” บอกแล้วทำหน้าสยองขวัญ เพราะเห็นภาพริโกะถือกระปุกเวย์โปรตีนลางๆ
                “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”
                “นายไม่มีความจำเป็นต้องควบคุมน้ำหนัก” คางามิชี้ส้อมไปที่ทาคาโอะ “ผอมจะแย่อยู่แล้ว”
                “ตลกล่ะ” ทาคาโอะเถียง “ฉันหนักตามมาตรฐาน เห็นกล้ามนี่มั้ย” ถกแขนเสื้อให้ดู คางามิกลับไม่มอง ยักไหล่ใส่อีก “ฉันก็แค่คะเนจากสายตา”
                “อ๋อหรอ...” ทาคาโอะแกล้งกลอกตา “เคืองนะเนี่ย รูปร่างอย่างฉันเรียกว่าสมส่วนต่างหาก”
                คางามิเทโคล่าดื่มอีกแก้ว เถียงในใจว่ายังไงทาคาโอะก็ยังดูผอมไปในสายตาเขา ถึงจะมีกล้ามเนื้อแบบนักกีฬา แต่ส่วนที่ผู้หญิงเรียกกันว่ามีน้ำมีนวลไม่ค่อยปรากฏให้เห็นนัก ทำไมเขาเกิดอยากจับคนที่นั่งตรงข้ามนี่มาขุนให้อ้วนก็ไม่รู้ มันเป็นความรู้สึกที่คางามิเคยมีให้แมวผอมโซที่หลงเข้ามาในละแวกบ้าน ไม่ใช่ความสงสาร แต่มันใกล้เคียงกับความเอ็นดู ฮิมุโระจึงนิยามให้ว่า 'จิตวิญญาณของฮีโร่'
                คางามิปัดฝุ่นใส่ความคิดตัวเอง ฮิมุโระก็เว่อร์แบบนี้เสมอ
                จะว่าไป...คางามิเคาะนิ้วกับโต๊ะ ส่งผมให้ทาคาโอะชะงักการกินแล้วมองตามนิ้วเขาไปด้วย

                หลังจบการแข่งไป ตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ...

                ย้ายสายตาไปที่ถนนนอกร้าน ยกแขนเท้าคาง ทาคาโอะเขี่ยมะเขือเทศลูกหนึ่งไปหลบใต้ผักใบสุดท้าย รวบช้อนวาง “อิ่มแล้วครับ” แต่คางามิก็ยังไม่หันมา ทาคาโอะไม่ค่อยคุ้นชินกับการนั่งเงียบเชียบกับใครแม้แต่ครอบครัวที่บ้าน พ่อแม่เขาเอะอะเสมอ และน้องสาวก็ร่าเริงไม่ต่างจากเขา ที่โรงเรียนทาคาโอะก็สานสัมพันธ์ไปทั่ว เป็นคนที่คุยง่ายและทุกคนอยากจะคุยด้วย อย่างน้อยถ้าอยู่ใกล้กันก็ต้องมีเรื่องให้พูดกัน วันที่ทำเกี๊ยวซ่านั้นคางามิก็ไม่ได้เงียบใส่เขา เวลาเจอมิโดริมะเงียบใส่ทาคาโอะจะบอกตัวเองว่าชินแล้วและยักไหล่ แต่พอเป็นคางามิ ทาคาโอะไม่ได้รู้สึกแย่อะไร แต่ทาคาโอะก็ไม่ชอบสายตาที่เหม่อลอยนั้นอยู่ดี เขาไม่ได้อยากดึงสายตาคางามิให้กลับมามองที่เขาคนเดียวแบบที่เคยรู้สึกกับใครบางคน แต่เขาแค่ไม่อยากให้คางามิทอดมองอะไรสักอย่างที่ไร้จุดหมาย มีรูปร่างในความทรงจำอันไกลโพ้นที่เขาสัมผัสไม่ได้
                “โอ๊ะ” ทาคาโอะอุทานเมื่อโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสั่น คางามิหันมา ทาคาโอะยิ้มแห้งๆ ให้เขาแล้วเหลือบดูหน้าจอ พลันยิ้มจางลงเล็กน้อย
                “แป๊บนะ คางามิ” ทาคาโอะขออนุญาติ เขาเบาเสียงลงเมื่อกดรับ “ฮัลโหลชินจัง”
                คางามิโคลงศีรษะ เมื่อได้ยินเสียงโมโนโทนของเอสชูโตคุลอยมา พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เบ้ปาก
                “เอ๋? ลัคกี้ไอเท็มหรอ ตอนนี้ฉันไม่ว่างนะชินจัง” ทาคาโอะเหลือบมองคางามิ “ก็...เอ่อ กับเพื่อนน่ะ ฉันออกมาเที่ยวกับเพื่อน...คนไหนหรอ อืม...อยู่คนละโรงเรียนกัน” ทาคาโอะแอบขยับปากบ่นว่าทำไมถามมากจัง แล้วตอบต่อด้วยน้ำเสียงพินอบพิเทา “ขอโทษนะชินจัง ไว้วันหลังฉันไปช่วยหานะ แค่นี้ก่ออ้าว...วางไปแล้ว อะไรของหมอนี่กันเนี่ย!” ทาคาโอะเก็บโทรศัพท์อย่างฉุนเฉียว
                คางามิเคี้ยวน้ำแข็งรอ “ว่าไง จะไปไหม”
                “ไม่อ่ะ วันหยุดทั้งทีฉันก็อยากจะพักบ้างอะไรบ้าง...เอ่อ แล้วที่ฉันมาทานข้าวกับนายนี่รบกวนเวลาพักของนายมั้ยอ่ะ”
                คางามิยิ้ม ตอบทีเล่นทีจริงว่า “ก็ไม่รู้สิ”
                “อย่ามากวนกันเลยน่า” ทาคาโอะหัวเราะ คลายโทสะจากสายเมื่อครู่ลง
                “นายก็โกรธเป็นนี่นา” คางามิพูดไปเคี้ยวน้ำแข็งไปกร้วมๆ แต่คนหูดีอย่างทาคาโอะยังอุตส่าห์ฟังออก
                “จริงๆ ฉันก็โกรธทุกรอบแหละเวลาโดนงี่เง่าใส่” ทาคาโอะบอก ดื่มน้ำสามอึกแล้วพูดต่อ “แต่จะให้ทำไงได้ โกรธแล้วยังไง หมอนั่นก็ยังทำตัวเหมือนเดิม ขอโทษสักคำก็ไม่มี และขืนฉันทู่ซี้โมโหต่อไปจะกระทบกับการเล่นของทีมด้วย”
                “อ่าๆ เข้าใจ” คางามิขานรับ “เมื่อก่อนตอนฉันเล่นที่อเมริกาก็เจอแบบนี้”
                “จริงหรอ แล้วนายจัดการยังไงอ่ะ” ทาคาโอะถามด้วยความสนใจ คางามิหัวเราะหึๆ “หมอนั่นถูกต่อยคว่ำเลยน่ะ”
                สิ้นคำตอบทาคาโอะก็หัวเราะก๊าก แต่คางามิโบกมือปราม “ไม่ใช่ฉัน แต่จู่ๆ ทัตสึยะก็ตะบันกำปั้นใส่หมอนั่น กลายเป็นว่าฉันต้องเป็นฝ่ายห้ามแทน” คางามิคลี่ยิ้มแบบเด็กๆ เป็นรอยยิ้มที่เห็นได้ยาก เหมือนเขากลับไปเป็นเด็กประถมอีกครั้ง
                “ทัตสึยะ...ฮิมุโระ ทัตสึยะจากโยเซ็นใช่ป่ะ!” ทาคาโอะทุบโต๊ะ “หน้าตาใจดีแบบนั้น ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นคนดุเดือดเลือดพล่าน”
                “ไม่ใช่แค่ดุเดือดหรอก” คางามิสำทับ “เป็นนักเลงขนานแท้เลยล่ะ”
                “แล้วนายไปรู้จักกับฮิมุโระ ทัตสึยะได้ยังไงล่ะ” ทาคาโอะเห็นคางามิจับคลึงแหวนตรงสร้อยคอ
                “ฉันกับหมอนั่นเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันน่ะ” คางามิมองไปที่ถนนอีกครั้ง ก่อรูปร่างของความทรงจำที่ทาคาโอะมองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ว่ามันมีรอยร้าวอยู่ “บางทีอาจต้องใช้คำว่า เคย ล่ะมั้งนะ”
                ดวงตาสีแดงไม่ได้ฉายแววเจ็บปวดใดๆ ใบหน้าราบเรียบเหมือนทะเลไร้คลื่น
                จู่ๆ ก็ถอนหายใจยาวเหยียด “ทานเสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ” เรียกพนักงานเก็บเงิน ทาคาโอะเหมือนจะเห็นกำแพงในตาคู่คม บังเกิดความสนใจว่าคางามิขังอะไรไว้ในนั้น อดีตสวยงามที่ไม่มีวันหวนคืน หรือความรักที่ถูกกลบฝังไว้ใต้ดิน ถ้าเช่นนั้น...สิ่งเดียวที่จะชะล้างหน้าดินได้ก็คือฝน
                ทาคาโอะแตะไหล่คางามิ “ไปเที่ยวกันเถอะ”
                คางามิย่นคิ้ว “แต่ฝนกำลังจะตกแล้วนะ”
                “ยังไม่ตกซะหน่อย เร็วสิ ลุกขึ้น โมะๆๆ”
                “เฮ้ยๆ คิดว่าเรียกคนหรือเรียกอะไรอยู่ฮะ” คางามิขัด ทุบกำปั้นลงบนหัวสีดำ ทาคาโอะแกล้งร้องโอยทั้งที่คางามิแทบไม่ได้ใช้แรงเลย
                “เว่อร์ละ” คางามิเอ็ด ทาคาโอะยิ่งหัวเราะดังขึ้น เขาคว้าแขนคางามิแล้วลากจูงออกไปนอกร้าน ทุบไหล่เขาสองสามทีแสดงกิริยาถูกใจความขุ่นเคืองเล็กๆ ของเขา คางามิไม่รู้จะโมโหหรือขำดี แต่สุดท้ายก็ขำตาม เพราะไม่สามารถโกรธคนที่เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามสร้างรอยยิ้มให้เขา
                “ทางขวา” คางามิโพล่งออกมา จับหัวทาคาโอะหันเลี้ยว “ไปห้างดีกว่า เผื่อฝนตกจะได้ตัวไม่เปียกด้วย”
                “ความคิดเยี่ยม” ทาคาโอะชูนิ้วโป้ง ส่ายผมกระจาย กระโดดโลดเต้นเหมือนเด็กๆ “เป้าหมายของเราคือตู้สติ๊กเกอร์”
                “หา?” คางามิใบหน้ากระตุก “นายหมายถึงเกมเซ็นเตอร์ใช่มั้ย” เขาหวังว่าจะฟังผิดไป แต่ทาคาโอะส่ายนิ้วชี้ไปมา ส่งเสียงจุ๊ๆ “ตู้สติ๊กเกอร์ ตู้คีบตุ๊กตา ตู้คาราโอเกะ ก็อยู่ในเกมเซ็นเตอร์นั่นแหละ” แบมือออกทั้งสองข้าง “ห้างตรงทางที่เราจะไปไม่มีพวกเกมเด็กผู้ชายหรอก เพราะฉะนั้นสวมวิญญาณสาวน้อยไปออกเดทกันเถอะ”
                “จะบ้าเราะ” คางามิโวย หน้าแดงก่ำ ทาคาโอะทำหน้าครุ่นคิด แล้วเหเท้าไปอีกทาง “งั้นไปอีกทางละกัน มีเกมเซ็นเตอร์สำหรับผู้ชายอยู่”
                “ทางนี้แหละดีแล้ว” คางามิจับทาคาโอะหันมา แล้วลากตามจนตัวอีกฝ่ายเกือบปลิว ทาคาโอะหรี่ตาลงเล็กน้อย ซ่อนแววสงสัยไว้ในเปลือกตา “ทางซ้ายมั้ย” เสนอเพื่อดูท่าทีอีกครั้ง
                “งั้นตรงกลาง” คางามิหยุดเดิน ลากทาคาโอะเดินผ่ากลางถนนที่ไม่มีรถวิ่ง
                “ทำไมไม่ให้ไปทางซ้าย มีอะไรปิดบังฉันป่ะเนี่ย”
                “ฉันหิวแล้ว”
                “หิวอะไร พึ่งฟาดสต็กสิบกว่าชิ้นเนี่ยนะหิว”
                “บอกแล้วว่าฉันเผาผลาญพลังงานหมดเร็ว” คางามิเปลี่ยนเรื่องเนียนๆ ทาคาโอะถอนหายใจ “คร้าบๆ จะพาไปไหนก็แล้วแต่นายเลยละกัน”
                “ว่าง่ายดีนี่นา” คางามิกล่าว ดึงทาคาโอะเข้ามาใกล้เพื่อให้จักรยานของเด็กสาวคนหนึ่งขับผ่านไปได้ หน้าผากทาคาโอะชนกันไหล่คางามิดังโป๊ก “โอ้ย”
                “โทษที” คางามิปล่อยทาคาโอะ แล้วย่อเข่าลงเล็กน้อย “เอามือออกสิ ฉันจะดูว่ามันโนมั้ย”
                “นี่ๆ แค่ก้มก็ได้นะไม่ต้องงอเข่าคุย” ทาคาโอะบอกอายๆ คางามิตอบเสียงซื่อ “ก็นายตัวไม่สูงนี่ ถ้าไม่ย่อฉันจะเห็นได้ยังไง”
                “โหย พูดงี้มาต่อยกันเลยดีกว่ามั้ย” ทาคาโอะยกมือออกจากหน้าผาก เผยให้เห็ยรอยแดงๆ เล็กน้อย คางามิดูโล่งใจที่มันไม่โนหรือแตก เขาไม่ได้ตั้งใจล้อเลียนเรื่องส่วนสูงของทาคาโอะ เพราะทาคาโอะก็ไม่ใช่คนตัวเล็ก เพียงแต่คางามินั่นแหละที่สูงมากไป
                ตาประสานสายตา ชั่ววินาทีบนฟุตบาทราวกับได้เห็นอีกโลกหนึ่ง ทุกการเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งรอบกายช้าลง พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าได้จดจำสีสันของกันและกันไว้ แลกเปลี่ยนความรู้สึกหนึ่งที่ต่อไปจะกลายเป็นเรื่องราวที่ไม่อาจหาคำนิยามความหมายได้ บนความสัมพันธ์ที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูด


                คางามิพาเดินอ้อมโลก
                ทาคาโอะกลอกตา คางามิพาเดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง แล้วเดินตรงไปตามทางที่ทอดยาวไปจนเห็นห้างสรรพสินค้าแล้วก็ข้ามถนนอีกทีเพื่อเข้าห้าง ถ้าทางเลือกที่หนึ่งและสามมันเหมือนกัน คางามิจะทำให้ยุ่งยากทำไม เด็กหนุ่มผมแดงเป็นคนง่ายๆ แต่วันนี้กลับทำตัวน่าสงสัยเหลือเกิน ทาคาโอะไม่ได้พูดอะไรตอนที่พวกเขากำลังขึ้นบันไดเลื่อน
                “เอ้า อยากทำอะไรก่อน คีบตุ๊กตา ถ่ายสติ๊กเกอร์ ร้องคาราโอเกะ”
                แล้วทำไมทำเหมือนพาสาวมาเดทอย่างนั้นเล่า เดทแบบไม่มีศิลป์ด้วยนะ ให้ตายเถอะ!
                ทาคาโอะหัวเราะเหอะๆ แบบปลดปลง “ไม่คีบตุ๊กตาละ ไม่อยากได้” ทาคาโอะตัดข้อแรกออก “ไปถ่ายสติ๊กเกอร์กัน”
                “ฉันด้วยหรอ” คางามิชี้ตัวเอง ทาคาโอะพยักหน้า “ใช่สิ จะให้ฉันถ่ายคนเดียวหรือไง”
                ผู้ชายสองคนเข้าไปอัดในตู้แคบๆ แถมคราวนี้คางามิจำเป็นต้องย่อเข่าลงด้วยเพราะหัวชนเพดาน ทาคาโอะเลือกกรอบอย่างสนุกสนาน คางามิเห็นว่าทุกสไตล์ที่ถูกใจทาคาโอะมักจะเป็นสีดำ ลายหัวกะโลกบ้างล่ะ เขาควายบ้างล่ะ ประกาศความเป็นชาวร็อคชัดๆ คล้ายกับฮิมุโระที่เมื่อก่อนก็ชอบเครื่องประดับประเภทผีๆ ชอบฟังเพลงฮาร์ดร็อคทั้งที่หน้าตาควรไปฟังเพลงป๊อบ
                “จะถ่ายแล้ว เอ้า ชีสส” รูปแรกออกมาพิลึกหน่อย เพราะคางามิเผลอทำหน้าปวดเข่าลงไป ทาคาโอะเห็นภาพนิ่งบนจอแล้วก็ขำก๊าก “ฮ่าๆๆ เอาใหม่นะ หนึ่ง สอง ชีสส”
                แชะ!
                คางามิลืมตาไม่ทัน ภาพเลยออกมาสยองขวัญเหมือนชัตเตอร์กดติดวิญญาณ เห็นแต่ตาขาวๆ ของเขา
                “บ้าอะไรเนี่ย” คางามิบ่น ทาคาโอะกุมท้องตัวงอ “ฮ่าๆๆ”
                ถ่ายไปเรื่อยๆ ส่วนมากได้ภาพตลกพิสดาร คางามิทำหน้าเมื่อยขาสุดชีวิต “เมื่อไหร่จะเสร็จเนี่ย”
                “น่าๆ อีกรูปเดียว” ทาคาโอะหันไปปลอบคางามิ พอดีกับที่คางามิโน้มตัวมาข้างหน้าเพื่อกระจายแรง ทำให้แก้มแตะกับปากของทาคาโอะพอดี พร้อมกับเสียงดังแชะ!
                พวกเขาอ้ำอึ้งใส่กัน คางามิกระเด้งตัวกลับมาแล้วหัวโขกเพดานตู้สนั่นหวั่นไหว ทาคาโอะหัวเราะไม่ออก เขาเงอะๆงะ ออกจากตู้มาก่อน
                “ว...ไว้ค่อยตัดแบ่งกันเนอะ” ทาคาโอะเก็บรูปลงในถุง พับผ่าสิ ภาพผู้ชายหอมแก้มกันเนี่ยนะ
                “อ..อ๋อ ได้สิ โอเคเลย” คางามิตะกุกตะกัก จะว่าไปเมื่อนานมาแล้วก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะเจอกี่ครั้งเขาก็รับมือไม่ค่อยถูกอยู่ดี

                “ต่อไปก็...คาราโอเกะ” ทาคาโอะเดินนำไปอีกโซนหนึ่งทันที เขาติดต่อกับพนักงาน
                “ตู้ที่สิบค่ะ”
                “เลขเดียวกับเสื้อพวกเราเลย” ทาคาโอะลืมเขิน หันมาชวนคางามิคุยต่อ จนพนักงานสาวทำหน้ายิ้มแหย คงเกิดความเข้าใจอะไรผิดขึ้นในใจแน่แท้ พวกเขาเดินไปตามทาง แต่ละตู้เขียนด้วยตัวคาตากานะญี่ปุ่น ไม่ได้ระบุเป็นเลขอารบิก
                “อันไหนอ่านว่าสิบล่ะเนี่ย” คางามิหัวหมุน ไม่ทันเห็นทาคาโอะเดินลิ่วเลี้ยวไปอีกโซน เขาพยายามนับขีด ระลึกความคุ้นเคยในวิชาเรียน แล้วส่ายหัวแรงๆ เขามองตู้สุดท้าย แล้วเดาเอาเองว่าเลขสิบต้องอยู่ตู้สุดท้าย จึงผลักเข้าไปไม่รอช้า เลิกม่านออกอย่างยินดี ทว่าภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เลือดในกายแข็งฉับพลัน


                “เจอละ คางาอ้าว หายไปไหนแล้ว” ทาคาโอะหันรีหันขวาง “หลงทางหรือไง” พำพำเดินย้อนกลับมาทางเดิม ตู้ที่แปดประตูเปิดอ้า เขาก็ได้ยินเสียงเสียงเรียกชื่อ ไทกะอย่างตื่นตระหนกดังออกมา จึงวิ่งเข้าไปดู คางามิเข้าตู้ผิดแล้วไปขัดจังหวะคู่รักหรือไปเจอคนรู้จักเข้าก็ไม่รู้ ทาคาโอะเลิกม่านออก เขาชะงัก เห็นคางามิยืนประจันหน้ากับผู้เล่นสูงสองเมตรของโยเซ็น มุราซากิบาระ อัตสึชิ
                “เฮ้ อัตสึชิ ไทกะ หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ฮิมุโระร้องห้าม เข้าไปแทรกกลาง คางามิหันมาจ้องด้วยสายตากดดัน “อธิบายหน่อยซิ ทัตสึยะ หมอนี่มันทำอะไรนาย”
                “เหอะ ไม่น่าถาม” มุราซากิบาระแค่นเสียง “พวกเราจูบกันอยู่ แล้วนายคนไร้มารยาทก็บุกรุกเข้ามาไง”
                “นายบังคับทัตสึยะหรอ?” มุราซากิบาระปรือตา ยิ้มเยาะ ไม่ตอบอะไร คางามิกระชากคอเสื้อนักบาสร่างสูง สติใกล้จะขาด ทาคาโอะเห็นท่าไม่ดีจึงจะเข้าไปห้าม แต่ฮิมุโระเข้าไปแทรกกลางสำเร็จ แล้วดันร่างคางามิออกมา “พอได้แล้วไทกะ! นายจะเป็นบ้าไปถึงไหน”
                “อะไรนะ” คางามิทวนเสียง “นายว่าฉันเป็นบ้าหรอ”
                “เหอะ อุตส่าห์หาที่เดทตั้งไกล ยังมาเจอพวกน่ารำคาญอีก” มุราซากิบาระบ่นงึมงำ เหลือบมาเห็นทาคาโอะพอดี “โอ๊ะ มีอีกคนสินะ ใครหว่า...”
                “ทัตสึยะ!
                “พอสักทีเถอะน่า ไทกะ!” ฮิมุโระตะโกนกลบเสียงเพลงในตู้คาราโอเกะ “ไม่มีใครบังคับฉันได้ทั้งนั้น นายคงเข้าใจที่ฉันพูดนะ”
                ทาคาโอะรู้สึกถูกกีดกันจากเรื่องราวในตู้เล็กๆ นี้ เพราะแท้จริงแล้วเขาก็เป็นเพียงคนนอก
                “ขอโทษนะไทกะ แต่นายควรจะเข้าใจได้ตั้งนานแล้ว” ฮิมุโระกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่นัยน์ตาแข็งกร้าว บ่งบอกความเด็ดขาดของการตัดสินใจ ทาคาโอะเห็นคางามิเงยหน้า ยกแขนขึ้น เขานึกว่าคางามิจะโดนอารมณ์ร้อนของตนครอบงำ เลยถลันเข้าไปหา ทว่ามุราซากิบาระคว้าคอเสื้อไว้ “นายอะไรก็ไม่รู้ ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง”
                “แต่...” มุราซากิบาระยัดอมยิ้มใส่ปากของเขา ตอนนั้นเองเขาเห็นคางามิวางมือบนไหล่ของคนที่เปรียบเสมือนพี่ชาย
                “อืม...ขอโทษนะทัตสึยะ” ฮิมุโระพยักหน้า ยิ้มอ่อนจาง วางมือทับหลังมือของน้องชาย “ไม่เป็นไร”
                “ไม่ต้องมาขอโทษฉันนะ ไม่อยากได้ยิน” มุราซากิบาระบอก คางามิแยกเขี้ยวใส่ “เออ ฉันไม่ขอโทษนายแน่นอนไอ้บ้า ไปกันเถอะ ทาคาโอะ”
                “อ่ะ...อืม เอ่อ” ทาคาโอะไม่รู้จะทักทายและบอกลาสองคนนี้ยังไงดี ฮิมุโระยิ้มเล็กๆ โบกมือว่าไม่เป็นไร เค้าจึงค้อมหัวให้เล็กน้อย แล้วเดินตามคางามิมา
                แม้คางามิไม่ได้พูดอะไร แต่ทาคาโอะรู้ว่าตู้คาราโอเกะไม่ใช่จุดหมายปลายทางอีกแล้ว เขาจึงรีบวิ่งไปคืนบัตรกับพนักงาน แล้ววิ่งตามคางามิให้ทัน
                “นี่ คางามิ” คางามิชะงัก หันมามองทาคาโอะแล้วทำหน้านึกขึ้นได้ “โทษที”
                “ช่างมันเถอะ” ทาคาโอะบอกปัดแม้จะเคืองเล็กน้อยที่ถูกลืม เขาไม่ถามเซ้าซี้อะไรทั้งสิ้น อันที่จริงเขาเดาเรื่องราวจากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ได้ลางๆ
                “ขอโทษที่ทำเสียบรรยากาศนะ”
                “ช่างมันเถอะน่า” ทาคาโอะตบไหล่
                ฝนตกอีกแล้ว ทาคาโอะคิดอคติประชดประชันว่าฝนต้องจำเพาะเจาะจงตกตอนพวกเขาอารมณ์ขุ่มมัวเสมอ คางามิกับเขาหยุดยืนหน้าห้าง คางามิที่แข็งแกร่งในวันที่ปลอบโยนเขา วันนี้ไหล่ลู่ลง แม้ร่างจะยังยืนสง่าอยู่ แต่ดวงตากลับมีกำแพงหนาทึบขึ้นบดบัง ทาคาโอะไม่ชอบเลย และความไม่ชอบอันแรงกล้าผลักดันให้เขาเข้าไปยืนเคียงข้างคางามิ
                “นี่ ฉันอยากกินเกี๊ยวซ่าจังเลย” ทาคาโอะเปรย คางามิก้มมองดวงตาสีเทาที่ฉายแววอบอุ่น ทาคาโอะยิ้มให้ คางามิคิดว่าถ้ายิ้มของทาคาโอะมีพลานุภาพขับสายฝนไปได้ ดวงอาทิตย์คงจะส่องสว่างอีกในไม่ช้า
                เขาตัดสินใจตอบไปว่า “ยังมีวัตถุดิบเหลืออยู่”
                “ก่อนจะมาที่ห้าง นายบอกว่านายหิว” ทาคาโอะเตือนความจำ คางามินึกขึ้นได้แล้วก็กระแอม ทาคาโอะหัวเราะ เด็กหนุ่มผมดำหยิบร่มสีแดงออกมา แล้วกางออก “กลับกันเถอะ ฉันหิวแล้วเหมือนกัน”
                “ร่มมันเล็กนะ” คางามิท้วง แต่ทาคาโอะก็ลากผู้ชายตัวใหญ่ให้มาเข้าใต้ร่มเดียวกันจนได้ พร้อมพูดขึ้นอย่างสดใสว่า “นายต้องยอมไหล่เปียกล่ะ คางามิคุง”
                คางามิทำหน้าเหรอหรา ทาคาโอะฉีกยิ้มใส่
                สีทึบในดวงตาจางลง รอยยิ้มกลับคืนสู่ใบหน้าคมคายของเด็กหนุ่มผมแดง ถึงจะยังเจือแววเศร้าอยู่ แต่ประกายแสงค่อยๆ ขับไล่ความมืดมิดออกไป

                ไม่หรอก...ไม่มีแผลใดที่จะหายได้ง่ายๆ ทาคาโอะเข้าใจดี

                มือของพวกเขากอบกุมกันอย่างช้าๆ เดินทางไปด้วยกันบนถนนที่เจิ่งนอง


                เบื้องหลังของทั้งคู่

                ท่ามกลางสายฝน...ใครบางคนปล่อยคันร่มลงกับพื้น







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น