วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Fanfic KNB [Aomine x Momoi] : My love in my life [END]





Shot fiction  : My love in my life
Author : froridy
Relationships : Aomine Daiki X Momoi Satsuki
Fandom  : Kuroko no basuke
Warning  : Normal
Note : ฟิคสั้นมาก...แต่งแบบล้วงลึกทะลวงใจ พล็อตทั่วไปจนเดาได้ แต่ตั้งใจให้ลึกซึ้ง 555 อาจมีงงนิดๆ ตอนแต่งก็คิดว่าเรากำลังแต่งอะไรหว่า ฮ่าาา
Summary: แด่กำแพงแห่งรักที่ไม่เคยพังทลาย...แต่รักยังดำรงอยู่ตลอดไป




                “ไดจังรู้ไหม ว่าฉันน่ะรักนายมาตลอดเลยนะ” โมโมอิเอ่ยขึ้นตอนที่กำลังไกวชิงช้าอยู่ข้างๆ ชายหนุ่ม เธอเอ่ยด้วยเสียงสดใสเริงร่า ราวกับว่าไม่ทรมานในถ้อยคำเหล่านั้น
                “ฉันจำได้ว่าเราอยู่ด้วยกันมานานแค่ไหน และฉันก็มีแต่นายจริงๆ” เธอดีดตัวเองไปให้สูงขึ้นและถอยกลับมา ผมสีกุหลาบสะบัดพลิ้ว เธอยังงดงามไม่เสื่อมคลาย ราวกับว่าหยุดเวลาไว้ตอนอายุยี่สิบกว่าๆ สวนทางกับเขาที่ดูแก่เกินวัยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
                อาโอมิเนะถอนใจ เขาไกวชิงช้าเอื่อยเฉื่อย โมโมอิหัวเราะคิกใส่เขา “อย่าทำตัวแก่อย่างงั้นสิไดจัง หน้าย่นหมดแล้ว”
                “เรื่องของฉันเถอะน่า...ว่าแต่” อาโอมิเนะหยุดเสียงไปพักหนึ่ง หญิงสาวหันมามองด้วยดวงตาใสแจ๋ว “เธอรักฉันจริงๆ หรอซัทสึกิ”
                “ก็ใช่น่ะสิ” เธอตอบอย่างไม่เขินอาย “รักรองจากพ่อแม่ของฉันเลยล่ะ”
                “ถ้าชัดเจนขนาดนี้ แล้วทำไมเธอถึงไม่เลือกฉันตั้งแต่แรกล่ะ” เขาถามเสียงขุ่น โมโมอิส่ายหัวไปมา “นายก็น่าจะรู้นี่ไดจัง เราอยู่ด้วยกันมาตลอด เราสนิทสนมกันม้ากกก” เธอลากเสียงสูง “ฉันคิดมาตลอดว่าไดจังน่ะเหมือนน้องชายฉันเลย แล้วฉันก็คิดว่านายคงจะเห็นฉันเป็นพี่สาว”
                “ฉันไม่เคยคิดแบบนั้น” เขาปฏิเสธ โมโมอิยิ้มจางๆ “นั่นสิน้า เพราะความไม่รู้และการคิดไปเองนี่แหละ ที่ทำให้เราไม่ได้เริ่มต้นกัน อ้อ! แล้วนายก็ไม่เคยบอกรักฉันด้วย”
                “ใครมันจะไปรู้”
                “นั่นสิ เราไม่รู้ว่าเรารักกัน นี่...รู้ไหม ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันจะบอกรักนายตั้งแต่ยังอยู่ในตู้อบเลยล่ะ”
                “หึ ยัยบ้า” อาโอมิเนะแค่นหัวเราะ โมโมอิยังเพ้อฝันได้พิลึกกึกกือเหมือนเดิม
                “ถ้าเธอรักฉัน แล้วสามีเธอล่ะ?
                “อืม...ฉันก็รักเขาเหมือนกัน เขาทำให้ชีวิตของฉันเต็มไปด้วยความสุข เขาทำให้ฉันกลายเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก” โมโมอิหันมายิ้มให้ “แม้ฉันจะรักนายขนาดไหน ถึงจะอยากบอกรักนายตั้งแต่ในตู้อบ แต่ถ้าให้เลือก ฉันก็ยังจะแต่งงานกับเขา”
                “โหดร้ายเสียจริงนะ” อาโอมิเนะถอนหายใจ “เธอแทงฉันสิบกว่าแผลแล้ว ไม่รู้หรือไง”
                “ขอโทษจริงๆ นะ แต่มันไม่เหมือนกันนี่” โมโมอิม้วนปอยผมเล่น “คนที่รักตลอดไปจนวันสุดท้ายแม้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน กับคนที่เราอยากเคียงข้างตลอดเวลาที่เหลืออยู่”
                “พวกเราทำให้เรื่องของเรามันยากเกินไป” อาโอมิเนะกล่าว โมโมอิพยักหน้า “ใช่ คงเพราะเรากลัวว่ามันจะเปลี่ยนไป ความรักมันทำลายสัมพันธภาพแบบเพื่อนได้ คนที่เป็นเพื่อนกันมายาวนาน พอรักกันได้สองปีก็เลิกรา มองหน้ากันไม่ติด ไม่ใช่ทุกคนหรอก เพื่อนสนิทบางคู่ก็กลายเป็นครอบครัวที่น่าอิจฉา แต่สำหรับพวกเรา...เราต่างรู้ว่าเราเป็นคนยังไง”
                โมโมอิเช็ดน้ำตา “ฉันขอโทษนะที่รักนายแบบนี้”
                อาโอมิเนะยิ้มบางๆ “ฉันรู้ ฉันก็ขอโทษเหมือนกัน”
                “ฉันรักนายนะไดจัง”
                อาโอมิเนะยิ้มขมขื่น “ฉันรักเธอ ซัทสึกิ”
                โมโมอิยิ้มทั้งน้ำตา พวกเขายื่นมือมาจับกันไว้ ระหว่างไกวชิงช้าด้วยกัน


                “คุณปู่คุยกับใครอยู่หรอครับ” หลายชายตัวน้อยวิ่งมาหาเขา และถามด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว อาโอมิเนะมองมือที่เหี่ยวย่นของตัวเอง แล้วชักกลับมาไว้บนตัก จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งลูบหัวเด็กชาย “นางฟ้า...ไม่สิ เรียกว่ายัยแม่มดน่าจะถูกกว่า”
                “เธอสวยมั้ยฮะ” เด็กชายตาวาว อาโอมิเนะจึงแกล้งทุบหัวสั่งสอน “โอ้ย ปู่ง่า!
                “ไปเล่นต่อไป ปู่ต้องการความสงบ”
                “แบร่ ไปก็ได้ ชิ!” เด็กชายหันหลังกลับวิ่งไปหาพ่อแม่ของตนอีกฝั่ง อาโอมิเนะยิ้มให้ครอบครัวตัวเอง และหันไปยิ้มให้ชิงช้าที่ว่างเปล่า

                “อีกไม่นานเราคงจะได้พบกัน”





วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Fanfic KNB [Kagami x Takao] : Rain in your eyes [7] END




fiction  : Rain in your eyes 7 [ตอนจบ]
Author : froridy
Relationships : Kagami Taiga x Takao kazunari / Midorima x Takao / Kagami x Himuro / Murasakibara x Himuro
Fandom  : Kuroko no basuke
Warning  : Yaoi
Note : เราเลือกที่จะจบแบบนี้ค่ะ...จริงๆไม่ได้คิดเลยว่าจะให้จบแบบนี้ ฮ่าๆ
Summary: เราไม่ได้โหยหาช่วงเวลาหนึ่งที่เราเคยมีร่วมกัน แต่เราโหยหาช่วงเวลาหลังจากนั้นที่เราอยากจะมีเมื่ออยู่เคียงข้างกันต่างหาก ไม่ว่ามันจะเรียกว่ารักหรืออะไรก็ตามที

           



                ทาคาโอะเคยดูหนังอยู่เรื่องหนึ่ง มันมีคำคมที่น่าสนใจว่า บางทีนี่อาจไม่ใช่ความรัก แต่เรากำลังโหยหาช่วงเวลาที่เราเคยมีร่วมกันกับใครคนหนึ่ง และเราก็เข้าใจผิดไปว่ามันเป็นความรัก ทาคาโอะคิดว่าน่าจะใช้ได้กับกรณีของเขาในตอนนี้
                ทาคาโอะคบกับมิโดริมะแล้ว แต่ทุกคืน...ยามเมื่อเอนกายนอนลงบนเตียง ทาคาโอะมักจะฝันเห็นคางามิ เรือนร่างสูงใหญ่ที่โน้มอยู่เหนือเขา ผมสีแดงสลับดำ เหงื่อที่ไหลลงมาตามขมับและสันกราม มีไฟลุกไหม้อยู่ในดวงตาที่ทอดต่ำ  ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอขึ้น ไหล่กว้างแข็งแรงตั้งฉากสง่างามเหนือแผ่นอกสีน้ำผึ้งที่สะท้อนขึ้นลง แผ่คลื่นกระจายลงมายังกล้ามท้อง
                ทาคาโอะกลืนน้ำลาย เขาหน้าแดง เหมือนยังได้กลิ่นของคางามิอยู่ กลิ่นอบอุ่นเหมือนกับแดดที่ส่องหลังฝนซา
                พอตื่นขึ้นมา ทาคาโอะได้แต่ซุกหน้าลงกับเข่าด้วยความละอายใจ คางามิไม่ใช่คนที่เขาควรจะคิดถึงอีก
               
                “โอ๊ะ กี่โมงแล้วเนี่ย” ทาคาโอะอุทาน เงยมองนาฬิกาติดผนังแล้วร้องโวยวาย “ก...ใกล้จะแปดโมงแล้ว ยัยเบ๊อะ ทำไมไม่ปลุกพี่ฮะ!” ตะโกนเสียงดัง สักพักน้องสาวก็เปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้างัวเงีย
                “วันนี้วันหยุดของหนูนะ มันหน้าที่อะไรที่ต้องคอยมาปลุกพี่ด้วยเล่า!
                ทาคาโอะผุดลุกจากเตียง หมอนข้างผ้าห่มร่วงลงพื้นเพราะโดนเท้าเกี่ยวตกอย่างเร่งรีบ
                “ฝากเก็บด้วยนะน้องสาว” คว้าผ้าเช็ดตัว วิ่งเข้าห้องน้ำด่วนจี๋
                “หนูเป็นน้องพี่นะ ไม่ใช่คนรับใช้” เด็กสาวบ่น แต่ก็ยอมเก็บให้ เธอพับผ้าไปหาวไป สุดท้ายก็ล้มตัวลงนอนทับผ้าห่มที่ตัวเองพับ ทาคาโอะนุ่งผ้าออกมาจากห้องน้ำแล้วตกใจ เพราะเห็นน้องสาวยังอยู่ในห้อง
                “กลับห้องตัวเองไปสิยัยบ๊อง”
                น้องสาวงึมงำพลิกหนี ทาคาโอะจึงเปิดตู้คว้าชุดแต่งกายอย่างรวดเร็ว มองนาฬิกาเพื่อกะเวลาไปด้วย นาทีต่อมามิโดริมะโทรมาเร่งเขาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ทั้งยังบ่นเป็นชุดอีกต่างหาก ทาคาโอะกลอกตา รับคำส่งเดช ทำปากล้อเลียนไปด้วย อย่านึกว่าคบกันแล้วจะเข้ามาควบคุมชีวิตเขาได้ ไม่มีทางเสียหรอกเจ้าแว่น
                “ออกมาได้แล้ว ฉันรออยู่หน้าบ้านนาย”
                ทาคาโอะสะดุ้ง กรอกเสียงกลับไป “ก็ไหนว่าเจอกันที่สนามไงล่ะชินจัง” สะพายกระเป๋า กดเปิดแอร์อีกครั้ง ดึงผ้าห่มให้น้อง แล้วเดินออกจากห้อง
                “คาซุนาริ ไม่ทานข้าวเช้าก่อนหรอลูก” แม่ทักจากในครัว
                “เดี๋ยวผมหาทานระหว่างทางเองครับ”
                “ไปดีมาดีนะ” แม่อวยพร ทาคาโอะขานรับ ก่อนจะกดวางสาย เปิดประตูออกไปหาเจ้าของเสียงตัวจริงที่รั้งรอหน้ารั้ว มิโดริมะดูกังวลเล็กน้อย พอเห็นหน้าเขาก็ปรับบุคลิกให้ขรึม แต่ทาคาโอะแอบเห็นว่าแก้มขาวๆ นั้นแดงเรื่อขึ้นมา ทั้งยังขยับแว่นมั่วซั่วจนนิ้วทิ่มตาอีกต่างหาก
                “อุ๊บ ฮ่าๆๆ” ทาคาโอะหัวเราะอย่างเหลืออด “ชินจังซุ่มซ่าม”
                มิโดริมะหลบสายตา “มันเป็นอุบัติเหตุต่างหาก” ดันแว่นด้วยนิ้วชี้แก้เก้อ แต่นิ้วดันสอดเข้าไปใต้แว่นทิ่มตาอีกที เด็กหนุ่มผมเขียวหน้าแดงแป๊ด น้ำตาซึม ทาคาโอะกลั้นขำ ตบไหล่ร่างสูงเป็นเชิงปลอบใจ
                “ทาคาโอะ...”
                เรียกรั้งไว้เมื่อทาคาโอะดูนาฬิกา แล้วทำท่าจะวิ่งนำไปก่อน “ชินจัง ถ้าไม่รีบเราจะสายเอานะ”
                “ฉันเจ็บตา”
                ทาคาโอะหันกลับมา คิดว่าน่าจะเพราะความเปิ่นเมื่อครู่นี้ “ไหน ดูซิ” ทาคาโอะถอดแว่นมิโดริมะออก “ก็ดูไม่ผิดปกติอะไรนะ อืม...แต่ว่ามีฝุ่นเกาะขนตาล่างนายอ่ะ ให้หยิบออกให้ไหม”
                “ไม่ต้อง”
                ทาคาโอะพยักหน้า “โอเค จะหยิบออกเองใช่ป่าว เอากระจกไหม” รื้อช่องเล็กของกระเป๋า แต่มิโดริมะจับข้อมือทาคาโอะ แล้วดึงเข้ามาจนชิดใกล้
                “เป่าให้หน่อยสิ”
                “อะไร จะเลียนแบบซีรีย์เกาหลีหรอ” ทาคาโอะหยอกล้อทั้งที่เริ่มเขินขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่นึกว่ามิโดริมะยามหายซึนจะรุกแบบไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าแบบนี้
                “เร็วเข้า ไม่งั้นสายนะ” มิโดริมะเร่ง ทาคาโอะถอนใจบ่นอุบ “ถ้างั้นก็ก้มลงมาหน่อย”
                “เขย่งเอาสิ”
                “ชินจัง!
                มิโดริมะยักคิ้ว ดูเจ้าเล่ห์แสนกลจนน่าหมั่นไส้ ทาคาโอะจำใจเขย่งปลายเท้า เอื้อมมือประคองใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายไว้ แล้วดึงให้โน้มลงมา
                “แถมน้ำลายด้วยดีมั้ยเนี่ย”
                “อย่าเชียวนะ” มิโดริมะเอ็ดเสียงขุ่น
                “คร้าบๆ เอ้า ฝุ่นจงหายไป ฟู่ววว”
                มิโดริมะยิ้มขัน ทาคาโอะเองก็ขำ ทว่าเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว

            ว่าง่ายดีนี่นา
                คางามิย่อเง่าคุยกับเขา แล้วทาคาโอะก็เถียงอย่างอายๆ ว่า ให้ก้มก็พอ ไม่ต้องงอเข่า

                “ไปกันเถอะ ทาคาโอะ” มิโดริมะยื่นมือให้ “เร็วสิ”
                ทาคาโอะยิ้มและคว้าจับมือเรียวข้างนั้น แกว่งไปมาพลางเงยหน้ายิ้มแย้มให้คนรัก มิโดริมะเองก็คลี่ริมฝีปากอ่อนโยนกลับมาเช่นกัน ทว่าไม่นานหลังจากนั้น...ทาคาโอะก็เผลอคลายมือลง

                 
                แมตวันนี้เป็นศึกชี้ชะตาระหว่างเซย์รินกับราคุซัน
                ทาคาโอะนั่งอยู่ข้างมิโดริมะ เขาหันไปยิ้มพะเน้าพะนอรุ่นพี่มิยาจิที่กำลังบ่นเป็นไฟว่าเขามาสายไปห้านาที ส่วนมิโดริมะไม่ได้สำนึกผิดเลย เด็กหนุ่มจ้องเขม็งลงไปยังสนามที่ว่างเปล่าอยู่ เสียงเชียร์กระหึ่มขึ้นเมื่อกลุ่มชายชุดขาวฟ้าเดินออกมาจากฝั่งตรงข้าม นำโดย อาคาชิ เซย์จูโร่ อดีตกัปตันทีมปาฏิหาริย์ และกระหึ่มอีกรอบแม้จะเบากว่า เมื่อทีมเซย์รินเดินออกมา คางามิยืนหันหลังให้ทางนี้อยู่ ร่างสูงใหญ่กำลังวอร์มร่างกายและถกเถียงกับคุโรโกะ ทาคาโอะใจหายวูบเมื่อคางามิหันมายิ้ม โบกมือ เกือบจะนึกว่าโบกมือให้เขาเสียอีก ถ้าไม่หันไปเห็นฮิมุโระที่นั่งถัดลงมาไม่ห่างนักกำลังโบกมือเชียร์อยู่
                เขาเผลอกำชายเสื้อแน่น
                ความรู้สึกนี้มันอะไรกันหรอ?
                ทาคาโอะแตะแขนมิโดริมะ แล้วแกล้งไถหัวใส่ เลยโดนยันหน้าผากสวนมา ทาคาโอะหัวเราะ นี่ต่างหากคนที่ทาคาโอะรัก

               
                “คางามิคุง การแข่งจะเริ่มแล้วนะครับ” คุโรโกะเรียกคู่หูซึ่งยืนเหม่อมองขึ้นไปบนอัฒจรรย์
                ฮิวงะเรียกรวมพล พวกเขากอดคอกันพร้อมร้องปลุกใจเสียงดังลั่น คางามิพยายามไม่คิดถึงภาพของทาคาโอะ เขามองหาฮิมุโระบนที่นั่ง ไม่ได้ตั้งใจจะเห็นทาคาโอะเสียหน่อย
                “มีสมาธิหน่อยครับ ศึกนี้สำคัญกับพวกเรามากนะครับ” คุโรโกะเตือนสติ คางามิจึงสลัดความว้าวุ่นออกไปจากหัวก่อน เด็กหนุ่มปิดเปลือกตาลง ก่อนจะเปิดขึ้นด้วยสายตามุ่งมั่น บรรจุด้วยเปลวไฟแห่งความหวัง เขาคือเอซ เขาแบกรับความหวังของทีมเอาไว้ คางามิก้าวเข้าสู่สนาม ส่งสายตาท้าทายไปยังฝ่ายตรงข้าม เสียงนกหวีดดังขึ้น


                ใจของทาคาโอะติดตามจังหวะลมหายใจของคางามิที่โลดแล่นไปทั่วสนาม มิโดริมะตั้งใจดูเกมการแข่งขันนี้มาก โดยพุ่งเป้าความสนใจไปที่อาคาชิ แม้ทาคาโอะจะสนใจสกิลที่พัฒนาขึ้นของเงาแห่งเซย์ริน ทว่าทุกครั้งสายตาของเขามาหยุดอยู่ที่คางามิ เพราะฮอว์กอายทำให้เห็นชัดกว่าคนทั่วไป เห็นไปถึงความรู้สึกที่แสดงออก ไม่ว่าคางามิจะสนุกสนาน หรือเคร่งเครียด ทาคาโอะเอาใจช่วยคางามิสุดแรง
                กาลเวลายืดยาวหน่วงความรู้สึก ผลัดกันเพลี่ยงพล้ำ แต่ราคุซันก้าวนำเสมอ
                บอลจากมือคางามิลงห่วงไปอีกลูก ทาคาโอะถอนหายใจ หัวใจเต้นราวจะทะลุจากอก
                กลยุทธ์สำคัญ แต่ไม่มากเท่าแรงใจ เซย์รินเหมือนปลาเกยน้ำตื่นที่กำลังดีดดิ้นหาทางลงน้ำให้ได้ ทาคาโอะกลัวเหลือเกินว่าเซย์รินจะพ่าย ทว่าลึกๆ นั้นเขามั่นใจว่าคางามิจะไม่แพ้
                เกมพลิกกลับในช่วงก่อนหมดเวลา เสียงเชียร์ฝ่ายเซย์รินเริ่มดังกลบฝ่ายราคุซัน ทาคาโอะถึงกับร่วมเชียร์ไปด้วย มิโดริมะมองเขาแวบหนึ่ง แล้วสังเกตการณ์ในสนามต่อ ทั้งสองฝ่ายปลดล็อกตัวเองออกจากปัญหาที่เผชิญแต่หนหลัง นำจิตวิญญาณเข้าต่อกรกันจังๆ ทาคาโอะมองตามแผ่นหลังของคางามิที่กระทบแสงไฟในสเตเดี้ยม เจิดจรัส สว่างจ้า
                “รู้ผลแล้วล่ะ” มิโดริมะกล่าว เสียงบอลสุดท้ายลงห่วงไป กระดอนตกลงบนพื้น

                กองเชียร์ฝั่งเซย์รินโห่ร้องด้วยความดีใจ



                หน้าตาแต่ละคนดูไม่ได้เลย คางามินึก เขาเองก็ต้องเช็ดน้ำตาไปด้วย ทั้งที่ตัวเองไม่ใช่คนที่ร้องไห้ง่ายๆ แต่ความพยายามทั้งหมดของพวกเขาสัมฤทธิ์ผลแล้ว ชัยชนะจากความมุ่งมั่นตั้งใจช่างหอมหวานและงดงามยิ่งนัก อีกประเดี๋ยวจะมีพิธีมอบรางวัล คุโรโกะกำลังคุยกับอาคาชิที่ดวงตากลับเป็นสีแดงทั้งสองข้างแล้ว คางามิดีใจที่คุโรโกะปลดความหนักอึ้งในอดีตลง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอัฒจรรย์ เขากำลังจะชูมือให้ฮิมุโระ แต่ตอนนั้นเองเขาเห็นทาคาโอะจ้องมาที่เขา แล้วยกนิ้วโป้งให้พร้อมกับยิ้มกว้าง หัวใจของคางามิเต้นกระหน่ำ คางามิก้มหน้าลงหัวเราะ ก่อนจะชูนิ้วโป้งขึ้น ทั้งอัฒจรรย์ส่งเสียงยินดี
                พวกเขาอยู่ห่างกันพอสมควร คางามิอยู่ในสนาม ทาคาโอะอยู่บนที่นั่ง ความเชื่องช้ามาเยือนดึงเอาความสดใหม่ออกไปจากบรรยากาศ สภาพแวดล้อมคล้ายจะหยุดนิ่ง เหลือเพียงแค่คางามิกับทาคาโอะเพียงสองคน วันคืนสั้นกระชับหวนเป็นมโนภาพชัดเจนยิ่ง วิ่งวนอยู่รอบกายเหมือนสายลมแผ่ว เวลากลับมาหมุนอีกครั้งตอนที่ฮิมุโระลงไปหาคางามิ และมิโดริมะแตะไหล่ทาคาโอะให้ลุกตามรุ่นพี่ออกไป
                ทาคาโอะได้ยินเสียงทำนองเพลงมอบรางวัล เขาเดินตามมิโดริมะจนกระทั่งถึงทางออก นอกสนามกีฬา ฝนเริ่มพร่างพรม
                และหยาดฝน...ก็หล่นจากดวงตา

                ทาคาโอะรู้ทันทีว่า...ไม่สามารถก้าวตามมิโดริมะได้อีกแล้ว...


               
                คางามิแยกตัวจากคนในทีม ฮิมุโระกำลังรอเขาอยู่ แต่ขาสองข้างเริ่มหนักจนก้าวได้ช้าลง เหมือนมีหินถ่วงรอบข้อเท้า ฮิมุโระจึงลงมาหาเอง
                “ข้างนอกฝนตกแน่ะ ได้เอาร่มมามั้ย” ฮิมุโระถาม คางามิกำลังจะบอกว่าเอามา แต่ความคิดเขาแล่นไปยังคนที่หายไปจากสายตา
            ฝนกำลังตกหนัก ทาคาโอะจะเอาร่มมาไหมนะ...
                ทางกลับของทีมอยู่คนละทาง เซย์รินกับชูโตคุอาจจะได้เดินสวนกันผ่านสายฝนอีกรอบ คราวนี้จะเป็นยังไงหรอ? ภาพที่คางามิเห็นจะไม่ใช่ทาคาโอะที่เดินแอบซ่อนน้ำตากลางฝนอีกแล้ว เขาสงสัยว่าตัวเองจะรู้สึกอย่างไรหากเห็นทาคาโอะหยอกล้อกับมิโดริมะกลางฝน จะเป็นอย่างไรหากเห็นว่าทาคาโอะไม่ได้เศร้าอีกต่อไป

                เพราะเรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นจากฝนที่หล่นจากดวงตา หากทาคาโอะมีความสุขกับมิโดริมะแล้ว ฝนคงไม่ตกอีก

                “ไทกะ...” ฮิมุโระกำลังรออยู่ คางามิเงยขึ้นมอง...ด้วยความรู้สึกผกผันไม่เหมือนเดิม
                “ทัตสึยะ...ฉัน”
                ฟ้าผ่าครืนลงมาอีกครั้ง พร้อมกับความเข้าใจในทันทีของฮิมุโระ เขาสังเกตคางามิกับทาคาโอะ ตั้งแต่วันที่เขาไปหาคางามิที่อพาร์ตเม้นต์แล้ว ลึกๆ ฮิมุโระรู้ ตอนที่คางามิกลับมาช่วยเขาจัดโต๊ะอาหาร เศษเสี้ยวแสงสว่างหายไปจากดวงตาและใบหน้า เหมือนว่าทาคาโอะดึงเอามันติดตัวไปด้วย
                ฮิมุโระพยักหน้าเข้าใจ เขาไม่อยากหลอกตัวเองอีกครั้ง จึงจุดยิ้มละไมให้แม้จะดูเศร้าสร้อยก็ตาม
                “ไปเถอะ...”
                คางามิถึงกับตัวสั่น เขาดึงร่างของพี่ชายเข้ามากอด ฝังหน้าลงกับบ่าที่เล็กกว่า ฮิมุโระลูบแผ่นหลังของน้องชายตัวโต เขารู้ว่าบ่ากำลังเปียก แล้วก็รู้ว่าทำบ่าของคางามิเปียกเช่นกัน
                คางามิผละออกจากเขา ฮิมุโระกลับเป็นพี่ชายใจดีในวัยเด็กอีกครั้ง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับใต้ตาน้องชายให้
                “ไม่ว่ายังไง...ในฐานะพี่ชาย ฉันก็อยากเห็นน้องชายมีความสุขนะ”
                “ฉันรักนาย ทัตสึยะ” คางามิกล่าว ฮิมุโระกลั้นน้ำตาไว้ ฝืนยิ้มสุดความสามารถ
                “ฉันรู้...ฉันก็รักนาย”


                ฮิมุโระเกือบจะทรุดลงตอนที่คางามิวิ่งออกไปแล้ว แต่มีใครบางคนประคองเขาไว้
                มุราซากิบาระถอดแจ็กเก็ตคลุมศีรษะเขา
                “อัตสึชิ...”
                “เงียบน่า” เด็กหนุ่มผมม่วงเอ็ดเสียงเบา เขาวางมือลงบนศีรษะคนอายุมากกว่า แล้วโยกคลอนเบาๆ


                ฝนกำลังตกหนัก คางามิวิ่งออกไปกลางสายฝน มองซ้ายขวา แลเห็นเครื่องแบบสีส้มของชูโตคุจึงวิ่งเข้าไปคว้าไหล่ใครคนหนึ่ง
                มิโดริมะผลักเขาออก ดวงตาหลังกรอบแว่นชืดชาจนน่าเวทนา
                “มิโดริมะ?
                มิโดริมะถอนหายใจ กลืนน้ำลายเหมือนกำลังกล้ำกลืนอย่างอดทน
                “ไม่ใช่ทางนี้”
                “หือ?
                “ทาคาโอะไม่ได้อยู่ทางนี้ รีบไปซะก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”
                “เดี๋ยวสิ...ไม่ใช่ว่านายกับหมอนั่น...”
                “เลิกกันเมื่อกี้”
                “หา?
                “ถ้าให้พูดซ้ำอีกรอบฉันจะต่อยนาย ไปให้พ้นตาฉันซะเจ้าบ้า” โบกมือไล่ คางามิไม่มีเวลาโกรธเคือง เขาหันหลังกลับ แต่มิโดริมะเรียกรั้งไว้อีกครั้ง
                “อย่าทำให้ทาคาโอะเสียใจเหมือนฉัน”
                คางามิพยักหน้า รับปาก มิโดริมะสูดลมหายใจก่อนจะเอนพิงผนังตึก คางามิเบือนหันไปทิศตรงข้าม


                เราไม่ได้โหยหาช่วงเวลาหนึ่งที่เรามีร่วมกัน
                แต่เราโหยหาช่วงเวลาหลังจากนั้นที่เราอยากจะมีเมื่ออยู่เคียงข้างกันต่างหาก ไม่ว่ามันจะเรียกว่ารักหรืออะไรก็ตามที

                ปลายสุดของทางเดินระหว่างตึก ท่ามกลางม่านฝน  ทาคาโอะยืนอยู่ไม่ไกล

                ไม่มีคำพูดใดนอกจากน้ำตา และอ้อมกอดแห่งความไม่คาดฝันที่กาลเวลาโคจรมาพบกัน





----------------------------------------------END---------------------------------------------








Under the red umbrella

'ไม่ว่าฝนจะตกอีกกี่ครั้ง จงจำไว้ว่าร่มคันนี้จะกันฝนให้นายเสมอ'



credit : แฟนฟิคผู้น่ารักท่านหนึ่ง







---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

               
                ทุกคนต่างมีความเจ็บปวดที่ต้องแบกรับ และยอมรับความผิดหวัง เพื่อดำเนินชีวิตต่อไป ตอนแรกเราไม่ได้กะให้สองคนนี้ลงเอยกันเลย แต่แต่งๆ อยู่ ตัวละครไหลไปตามทางของมันเองจนเราฉุกคิดได้ว่า บางที จะเป็นความรักหรือไม่ ก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าความจริงที่ปรากฏ ณ ขณะนั้น ความผูกพันกับระยะเวลาอันฝังใจ ไม่ได้ตัดสินทุกสิ่ง ไม่ได้ตัดสินว่าสุดท้ายแล้วหัวใจของเราเลือกใคร ตอนแรกเรากะจบแบบเพลง เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว ผ่านเลยไปและไม่เคยจะกลับมา เป็นแค่ความประทับใจที่ยังคงแน่นหนา มีแต่ฝนมีแต่ฟ้าที่เข้าใจ...เพลง stay ค่ะ  ฮ่าๆ แต่มาย้อนๆ ดูแล้ว ระหว่างสองคนนี้มันลึกซึ้งกว่านั้น แล้วก็...โป๊ะ นี่ล่ะค่ะ แต่งๆ อยู่ คางามิ กับทาคาโอะคิดถึงกันเฉย ก็วิ่งกลับมาหากันเฉยเลย...ไม่รู้มีใครผิดหวังตอนจบบ้างไหม แต่เรื่อง Rain in your eyes ก็จบลงแล้วค่ะ (ถึงแม้จะสงสารมิโดมากก็ตาม)
                ปล.มีใครสังเกตบ้างไหมคะ คางามิไม่เคยคิดหยุดฝนในดวงตาของทาคาโอะเลย แต่เช็ดออกให้เมื่อมันไหลออกมา


                ขอบคุณผู้ที่ติดตาม ทั้งที่คอมเม้นให้กำลังใจเราแบบลับๆ และผู้ที่ตามอ่านเงียบๆ ค่ะ




วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Fanfic KNB [Kagami x Takao] : Rain in your eyes [6]




fiction  : Rain in your eyes 6
Author : froridy
Relationships : Kagami Taiga x Takao kazunari / Midorima x Takao / Kagami x Himuro / Murasakibara x Himuro
Fandom  : Kuroko no basuke
Warning  : Yaoi
Note : -----
Summary: ฝนนอกอาคารค่อยๆ ซาลง และหยุดโปรยปราย




                ไทกะกำลังวิ่งมา...
                ฮิมุโระเห็นร่างสูงใหญ่ของผู้ที่ตนเรียกว่าน้องชายเลือนลางกลางฝน เด็กหนุ่มไม่ได้กางร่ม นั่นทำให้ฮิมุโระเป็นห่วงแม้จะรู้ว่าน้องชายคนนี้แข็งแรงแค่ไหนก็ตาม ก่อนคางามิจะมาถึง ฮิมุโระเฝ้าตำหนิตัวเองจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดไปเมื่อวาน และทำให้เขาต้องมายืนรออยู่ที่ชั้นล่างของอพาร์ตเม้นต์
                ฮิมุโระรู้มาตลอดว่าคางามิคิดยังไงกับเขา
                แต่ฮิมุโระไม่แน่ใจ เขาคิดว่าคางามิแยกความรักไม่ออกจากความผูกพันธ์ ซึ่งมันก็แน่อยู่แล้ว บางทีคางามิอาจจะผูกพันกับเขามาก เพราะเขานำพาบาสเก็ลบอลเข้ามาในชีวิตของเด็กที่เดินเหงาอยู่แถบชานเมืองลอสแองเจลิส พวกเขาบ่มเพาะความสนิทสนมมาหลายปี คางามิไฝ่หาความอบอุ่นอ่อนโยนจากเขา เพราะขาดแม่ เด็กน้อยผมแดงชอบความเอาใจใส่และบางครั้งก็ทำตัวงอแงเป็นเด็กๆ ให้เขาดูแล จนกระทั่งเติบโตขึ้น คางามิหันกลับมาเอาใจใส่เขาแทน และนั่นเป็นการเผยความในใจให้ฮิมุโระรับรู้ผ่านการกระทำ แต่ช่วงนั้นด้วยความริษยาหยั่งรากลึก ศักดิ์ศรีถือตนที่เคยเหนือกว่ามาตลอดทำให้ฮิมุโระมุ่งตรงไปที่พัฒนาการแบบก้าวกระโดดทางด้านบาสเก็ตบอลของคางามิ นั่นทำให้ตัวเองรู้สึกด้อยค่า และรับไม่ได้ที่บทบาทจะสลับกันนับแต่นี้ไป เขาไม่สามารถมองดวงตาใสซื่อเปี่ยมความหวังของคางามิได้อีก มันทำให้อยากกรีดร้องใส่ กับรู้สึกผิดบาปไปพร้อมกัน เขาจึงตัดสัมพันธ์ฉันพี่น้องลงนับแต่นั้น ยิ่งคางามิแกล้งยอมแพ้ เขายิ่งรู้สึกว่าศักดิ์ศรีถูกเหยียบย่ำ ความรักที่แสนดีของคางามิร้ายกาจต่อเขาเสมอ เขารับไม่ไหวหรอก
                ฮิมุโระหันหลังให้น้องชาย เดินร้องไห้จากมา กำปั้นที่เปื้อนเลือดของคางามิกรีดหัวใจเขาเป็นชิ้นๆ
                หลังจากแมตแข่งขันระหว่างโยเซ็นกับเซย์รินจบลง ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขึ้น อาจจะเพราะฮิมุโระได้พบกับมุราซากิบาระก็เป็นได้ เด็กโข่งตัวโตแสนเอาแต่ใจทำให้เขาคิดถึงคางามิวัยเด็ก ทว่ามุราซากิบาระมีส่วนที่ต่างออกไปคือ มุราซากิบาระไม่มีพันธะที่เรียกว่าน้องชายกับเขา พวกเขาคือคู่รัก รักกันอย่างเดียวโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ ไม่มีใครวิ่งตามใครเหมือนที่คางามิเคยวิ่งตามเขา หรือเขามองคางามิที่นำหน้า อยู่ในจุดที่ชอบ มีพื้นที่ส่วนตัว แต่บางครั้งมันก็แสนจะหงอยเหงา ฮิมุโระรู้ว่าตนโหยหาการปกป้องดูแลที่เคยได้รับเมื่อนานมาแล้ว แต่มุราซากิบาระไม่มีให้ มุราซากิบาระคิดว่าเขาดูแลตัวเองได้ ซึ่งมันก็จริงนั่นแหละ แต่ความคาดหวังไม่เคยสัมฤทธิ์ผล ความเบื่อหน่ายเริ่มมาเยือนจนฮิมุโระเสนอว่าให้ไปเดทกันที่โตเกียว จะได้หลบสายตาคนรู้จักด้วย ปรากฏว่าบังเอิญเจอคางามิที่พรวดพราดเข้ามาในตู้คาราโอเกะจนเกือบจะเกิดเรื่องเกิดราวขึ้น โชคดีที่คางามิตั้งสติทำใจยอมรับได้ ก่อนจะเดินจากไปอย่างสงบ
                แต่หลังจากออกจากตู้นั้น มุราซากิบาระ กับ ฮิมุโระ ไม่เหมือนเดิม
                ความชืดชามาเยือนตอนที่กำลังจูบกัน นับวันยิ่งรุนแรง
                เมื่อวานมุราซากิบาระตัดสินใจบอกเลิกเขา พวกเขาทะเลาะกัน ฮิมุโระถามหาเหตุผล และมุราซากิบาระก็โพล่งออกมาว่า
                “นายมันตาบอดหูหนวก มุโระจิน!
                “ว...ว่าไงนะ?
                เด็กหนุ่มผมม่วงสูดลมหายใจอย่างระงับอารมณ์
                “นายมันจอมหลอกลวง จอมหลบหนี หลอกและหนีแม้กระทั่งกับตัวเอง!
                “อย่าพูดแบบนั้นกับฉันนะอัตสึชิ!
                “ทำไมฉันจะพูดไม่ได้? ถามจริง นายดูไม่ออกเลยหรอว่าจริงๆ แล้วใครอยู่ในใจนายกันแน่ นายมองใครมาตลอดกันแน่ นายทำให้ฉันเป็นหมาหัวเน่า มุโระจิน”
                “พ...พูดอะไรของนาย อย่ามากล่าวหาฉันมั่วๆ นะ”
                “นายมันก็ดีแต่หนี หนีได้หนีดี ฉันเองก็เบื่อเต็มทนแล้ว เราเป็นแค่เพื่อนร่วมทีมเหมือนเดิมดีกว่า...”
                “พูดง่ายจังนะ” ฮิมุโระประชด มุราซากิบาระหลุบตามองเขา “มันไม่ง่ายเลยมุโรจิน แต่นายไม่เคยรักฉันเลย”
                มุราซากิบาระถอนใจ ยิ้มบางๆ ดวงตามีแววหวั่นไหว ฮิมุโระจุกในลำคอเมื่อเห็นภาพตัวเองสะท้อนบนกระจกตาสีไวโอเล็ต ความจริงถูกกระเทาะออกมา
                “อย่าตัดสินเอาเอง นายไม่ใช่ฉัน” ฮิมุโระยืนกราน
                “อย่าหนีอีกเลยมุโรจิน พอแค่นี้เถอะ นายจะชกฉันก็ได้”
                ฮิมุโระกำหมัดแน่น แต่ร่างไม่ขยับเขยื้อน ชั่วขณะนั้นคิดว่ากำลังจะแตกสลายแล้ว...แต่ก็ไม่ ฮิมุโระประหลาดใจที่ทนมองมุราซากิบาระเดินออกไปจากห้องได้ เขาแปลกใจที่กำปั้นคลายลง และยังทำกิจวัตรยามเย็นได้เป็นปกติ แต่เมื่อเช้าเขาก็ตัดสินใจเดินทางจากอากิตะเพื่อมาหาคางามิ

                ยิ่งคางามิใกล้เข้ามากเท่าไหร่ ฮิมุโระยิ่งกระจ่างชัดว่า คำว่าหลบกับหลอกเขาใช้กับใครเสมอมา
                คางามิเปิดประตูเข้ามา หยุดหอบหายใจพักหนึ่ง ตัวเปียกโชก
                ฮิมุโระสวมกอดร่างสูงใหญ่โดยไม่พูดไม่จา ไม่สนความเปียกปอนจากสายฝน
               
                คางามิตกตะลึงครู่หนึ่ง ฮิมุโระกระซิบบางอย่างกับเขา เปลี่ยนดวงตามั่นคงแน่วแน่ให้กระเพื่อมไหว คางามิหลับตาลง โอบร่างของพี่ชายไว้ในอ้อมแขน




                ทาคาโอะเพิ่งทำแผลเสร็จ เขาต้องหันหนีสายตาสำนึกผิดของมิโดริมะบ่อยๆ
                “เลิกมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นได้แล้วน่า”
                “ฉันขอโทษนะทาคาโอะ”
                ในเวลาปกติทาคาโอะคงจะเห็นว่ามิโดริมะน่ารักอยู่หรอก แต่ตอนนี้อารมณ์เจ็บแผลที่คอทำให้เขาพาลรำคาญนิดๆ และนั่นทำให้มิโดริมะหงอยเข้าไปใหญ่
                “ฉันรักนายนะ ทาคาโอะ”
                ทาคาโอะหน้าแดงแป๊ด “อย่าบอกรักพร่ำเพรื่อจะได้มั้ย”
                “แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง” มิโดริมะถามด้วยเสียงจริงจังขึ้น ทาคาโอะกำลังจะตอบว่าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ยังไงเขาก็รักชินจังอยู่แล้ว ทว่าเขากลับมองเห็นสารสื่อในข้อความเสียก่อน ทาคาโอะเงยหน้ามองมิโดริมะ มิโดริมะกำลังรอเขาตอบอยู่
                เขาควรจะตอบยังไงดีนะ
                ตอนนี้ฉันมีคางามิอยู่นะชินจัง...อย่างนี้หรอ
                ฉันรักชินจังนะ แต่คางามิก็สำคัญต่อฉันเช่นกัน
                ไม่ได้...ตอบแบบนี้ไม่ได้
                “ขอเวลาฉันหน่อยนะชินจัง” ทาคาโอะตัดสินใจเลือกคำตอบนี้ มิโดริมะพยักหน้ารับ พร้อมกับเผยยิ้มจางๆ ที่ทำให้ทาคาโอะใจเต้นด้วยความสุข แต่ก็เจ็บปวดเพราะความรู้สึกผิด
                “ได้สิ ฉันจะรอ”



                ทาคาโอะแยกกับมิโดริมะที่หน้าโรงเรียน มิโดริมะเป็นฝ่ายยืนส่งเขาและมองแผ่นหลังเขาจนลับตาบ้าง ฝนยังคงตกอยู่ ทุกย่างก้าวของทาคาโอะในวันนี้เบาหวิว มิโดริมะรักทาคาโอะ ทาคาโอะสมหวังแล้ว ทว่าเมื่อรองเท้าย่ำลงบนแอ่งฝน ทาคาโอะก็รู้สึกหนักอึ้ง ถ้าเขาขอแยกทางกับคางามิเลยจะดูเห็นแก่ตัวไปหรือเปล่า เป็นนกบาดเจ็บที่บินมาหา พอได้เยียวยารักษาจนแข็งแรงแล้วก็บินจากไป นี่มันแย่สิ้นดี
                แต่ตลอดเวลาสั้นๆ ที่ได้ใช้ร่วมกัน ทาคาโอะรู้ดีว่าคางามิก็เหมือนกับเขา
                คางามิรักฮิมุโระ
                ทาคาโอะรักมิโดริมะ
                วันคืนของเขากับคางามิไม่ใช่ความรัก แต่มันคือความปรารถนาที่อยากจะมีความสุข
                เพราะฉะนั้น ความเจ็บปวดที่เกิดจากอีกฝ่ายจึงไม่มี ความลึกซึ้งดื่มด่ำที่ก่อให้เกิดความหึงหวงก็ไม่มีตามไปด้วย
                ทาคาโอะตัวสั่นใต้ร่มสีเขียวที่มิโดริมะให้เขาใช้กันฝน ร่มสีแดงของคางามิถูกเก็บไว้ในกระเป๋า เขาหุบร่ม ขึ้นรถโดยสาร ยืนตัวโงนเงนขณะจับราวไว้ รถเริ่มแน่นเบียดเสียดด้วยผู้คนจนทาคาโอะตัวลีบ เขายิ้มขอโทษให้หญิงสาวคนหนึ่งที่แขนเขาเผอิญไปโดนตัวเธอ เธอส่ายหน้ายิ้มไม่ถือสา รถขยับเชื่องช้า การจราจรติดขัด ทาคาโอะเมื่อยขา เขาไม่ได้ที่นั่งเสียที พอมีคนลุกเขาก็แสดงน้ำใจให้ผู้หญิงกับเด็กนั่งก่อน จะว่าไปเขายังไม่เคยขึ้นรถเมล์กับคางามิเลยแฮะ ถ้าได้ขึ้นด้วยกัน เขาคิดว่าคางามิคงจะยอมยืนตลอดสายแหงๆ คนอย่างหมอนั่นสะกดคำว่าเห็นแก่ตัวเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้
                รถจอดที่หน้าป้ายก่อนถึงโรงเรียนเซย์รินในที่สุด ทาคาโอะสูดลมหายใจ กางร่มออกไปเผชิญฝนอีกครั้ง พอถึงอพาร์ตเม้นต์ก็เงยหน้ามอง เห็นไฟห้องคางามิเปิดอยู่ ทาคาโอะหดหู่ใจ ไม่รู้ว่าคางามิจะว่ายังไง แต่แอบคิดว่าคางามิยอมปล่อยมือจากเขาแน่ๆ
                ทาคาโอะเศร้ายิ่งขึ้นไปอีกเมื่อคิดได้ว่า มือของพวกเขาไม่ได้จับกันแน่นตั้งแต่ทีแรกแล้ว

                ไขเปิดประตูห้องพักด้วยกุญแจสำรองที่คางามิให้มา ทาคาโอะขมวดคิ้วเมื่อได้กลิ่นหอมของไข่เจียว วางร่ม ถอดรองเท้า เดินเข้าไปในห้อง ยิ่งเข้าใกล้ห้องรับแขกยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้น ใจของทาคาโอะหล่นแป้ว เขาจำเสียงอีกเสียงหนึ่งได้ ถึงจะเคยได้ยินแค่ครั้งเดียวก็เถอะ มือเท้าของทาคาโอะชา เขาเตือนตัวเองว่าไม่มีสิทธิจะรู้สึกแย่ หากภาพที่เห็นเป็นอย่างที่จินตนาการไว้ ยิ่งง่ายต่อการแยกทาง

                คางามิกับฮิมุโระหยุดคุยกันเมื่อเห็นทาคาโอะปรากฏกายขึ้น คางามิกำลังทอดไข่ และดูเหมือนฮิมุโระกำลังช่วยหั่นผักอยู่ คางามิทำสีหน้าไม่ถูก เหมือนตัวเองถูกจับได้ว่านอกใจทั้งที่เขากับทาคาโอะไม่ได้คบกัน ฮิมุโระทำให้เขาลืมทุกอย่าง คางามิลืมแม้กระทั่งว่าทาคาโอะต้องกลับมาที่ห้อง คำสารภาพของฮิมุโระทำให้คางามิมีความสุขมาก และทำให้คางามิรู้สึกผิดมากในตอนนี้
                ฮิมุโระหันมามองเขาด้วยแววตาสงสัย คางามิเองก็คิดหาคำตอบไม่ทัน ทว่าเป็นทาคาโอะที่ชิงทักทายขึ้นมาก่อน
                “สวัสดีครับฮิมุโระซัง”
                ฮิมุโระกระพริบตางงๆ ก่อนจะยิ้มเป็นมิตรแล้วทักกลับ “ฉันรู้จักนายนะ ทาคาโอะคุงแห่งชูโตคุ”
                “งั้นหรือครับ ฮ่าๆ เขินจัง” เสียงหัวเราะของทาคาโอะดูเป็นธรรมชาติ “พอดีผมเอาของมาคืนคางามิน่ะครับ”
                คางามิผละจากเตา “แป๊บนะทัตสึยะ ฝากจัดการที่เหลือด้วยล่ะ” ถอดผ้ากันเปื้อนออก ฮิมุโระรับตะหลิวต่อจากคางามิ มองทาคาโอะเล็กน้อย แล้วหันไปสนใจกระทะ

                คางามิพาทาคาโอะออกมาจากบริเวณครัวและห้องรับแขก พวกเขายืนหันเข้าหากันตรงทางเดินก่อนถึงประตูห้อง
                “ทาคาโอะ ฉัน...” คางามิเริ่มสนทนาก่อน แต่ทาคาโอะยกมือปิดปากอีกฝ่าย เขาไม่อยากให้คางามิพูดอะไรก็ตามที่สุดท้ายแล้วต้องลงเอยด้วยคำว่าขอโทษ
                ตัดสินใจว่าถ้าจะมีคนผิด ควรเป็นตัวเขาเองมากกว่า ทาคาโอะเงยหน้าฉีกยิ้มให้ กลบแววเศร้าได้หมดจด
                “ชินจังสารภาพรักกับฉันแล้ว เรากำลังจะคบกัน”
                ฟ้าผ่าตอนนั้นพอดี คางามิได้ยินเสียงของฮิมุโระอุทานด้วยความตกใจ แต่ฮิมุโระก็ตะโกนบอกว่าไม่มีอะไร คุยกันให้เสร็จ คางามิจึงตั้งสมาธิกับประโยคบอกเล่าสายฟ้าฟาดที่เพิ่งออกจากปากทาคาโอะ
                ความเงียบกินเวลาเกือบนาที โลกหมุนช้าลง ราวกับบรรยากาศหมืดหม่นกระทันหัน มิติแห่งความว่างเปล่าขยายออกคลอบคลุมเพียงทาคาโอะกับคางามิ พวกเขาตกอยู่ในภวังค์ ได้แต่มองตากันด้วยความอัดอั้นเกินเอื้อนเอ่ย
                “ฉันเอาร่มมาคืนนาย” ทาคาโอะหยิบร่มสีแดงออกจากกระเป๋า และส่งมอบให้
                คางามินิ่งงัน
                ฮิมุโระมาอยู่ข้างกายเขาแล้ว...
                ทาคาโอะสมหวังกับมิโดริมะแล้ว...
                ทาคาโอะดึงแขนคางามิมาแล้ววางร่มกลางฝ่ามือ “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเลยล่ะ”  ทาคาโอะกลั้นใจพูดออกไป คางามิกำร่มแล้วมองตอบเขาด้วยสายตาที่กลั่นเป็นคำพูดไม่ได้
                เด็กหนุ่มผมดำยังคงยิ้มกว้าง จ้องเขาด้วยดวงตาแจ่มใส
                พักหนึ่ง...คางามิยิ้มบางๆ แสดงออกว่าเข้าใจทุกอย่าง กล่าวด้วยประโยคสั้นๆ แผ่วเบาว่า “นายก็เช่นกัน”
                ทาคาโอะหัวเราะเริงร่า ก่อนจะทำหน้านึกขึ้นได้ “ฉันไปเก็บของก่อนนะ”
                “รอจนฝนหยุดตกก็ได้นี่” คางามิเสนอ แต่ทาคาโอะบุ้ยปากใส่ “ไม่อ่ะ ฉันไม่อยากเป็นก้างขวางคอ”
                คางามิแสร้งหัวเราะ ทาคาโอะตีไหล่เขา แล้ววิ่งกลับเข้าไปในห้อง ตะโกนทักทายฮิมุโระอีกรอบ เขาได้ยินเสียงทาคาโอะเจื้อยแจ้วคุยอย่างสนุกสนาน และฮิมุโระขำคิกคักกับมุกตลกของเด็กหนุ่มชูโตคุ คางามิหวนมองร่มในมือ ทาคาโอะคืนร่มให้เขาแล้ว
                ไม่มีเหตุผลที่ทาคาโอะจะมาหาเขาอีกต่อไป


                คางามิส่งทาคาโอะที่หน้าประตูห้อง พวกเขายิ้มให้กัน ต่างฝ่ายต่างตั้งใจว่ารอยยิ้มนี้จะดูดีที่สุด มีความสุขที่สุด
                “เจอกันในแมตหน้านะ” ทาคาโอะบอก
                คางามิมุ่นคิ้ว “แมตหน้าฉันไม่ได้เจอชูโตคุ”
                “ฉันหมายถึงว่าเจอกันในสนามก็ทักกันบ้าง” ทาคาโอะทำเสียงเหลืออด ก่อนจะก้าวเข้ามา แล้วยื่นมือมาบีบจมูกคางามิ “ไปก่อนนะ” แตะนิ้วชี้กับปลายจมูกเขา
                คางามิได้กลิ่นฝนเจือจาง ไม่ลืมเอ่ยเตือนว่า “เดินทางกลับดีๆ ล่ะ ข้ามถนนก็ระวังรถด้วย”
                “คร้าบผม” รับคำเสียงแจ๋ว “ฉันคงจะคิดถึงอาหารฝีมือนาย” ทาคาโอะเย้า พลางกระซิบ “นายรู้มั้ยว่าชินจังทำอาหารไม่ได้เรื่องเลย เหมือนวางยาพิษใส่คนกินอ่ะ”
                คางามิขำ “นายฝีมือดีอยู่แล้ว ก็ทำให้หมอนั่นกินสิ”
                “ก็คงต้องเป็นอย่างงั้นแหละ” ทาคาโอะกล่าว กำมือชกอกอีกฝ่ายเบาๆ “ไปก่อนนะ”
                “อืม โชคดี” คางามิยกมือขึ้นทำท่าไฮว์ไฟท์ ทาคาโอะแปะมือคางามิ เหมือนเวลาเขาชู้ตลงห่วงได้สำเร็จ
                ผละจากกัน ทาคาโอะเบือนกายไปอีกทาง หยิบมือถือที่สั่นออกจากกระเป๋าเสื้อ กดรับสายโทรเข้าจากมิโดริมะ คางามิหันกลับเข้าห้อง ขานรับฮิมุโระที่เรียกให้มาช่วยจัดโต๊ะทานข้าว

                ฝนนอกอาคารค่อยๆ ซาลง และหยุดโปรยปราย