fiction : Rain in your eyes
Author : froridy
Relationships : Kagami Taiga x Takao
kazunari
Fandom : Kuroko no basuke
Warning : Yaoi
Note : แรร์ค่ะ
คู่แรร์ ฮ่าๆ
Summary: ณ วันที่ฝนตก...
ภาพติดตาของคางามิเป็นภาพที่แปลกประหลาด
จะว่าน่ามองก็ใช่ แต่ถ้าให้มองตรงๆ ต่อไปเขาจะรู้สึกไม่ดีเสียเอง
วันนั้นหลังจบการแข่งขันกับชูโตคุ เซย์รินเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ
คางามิจำได้ว่าฝนโปรยลงมาอย่างหนักขณะที่ริโกะกำลังเร่งให้เก็บของ
คางามิเองก็ไม่รู้ว่าจะรีบไปทำไม นั่งรอในห้องแต่งตัวให้ฝนหยุดก่อนแล้วค่อยเดินทางกลับก็ได้
แต่ริโกะบอกว่าเพราะสนามแข่งกำลังจะปิดแล้วต่างหาก คางามิจึงหยิบชุดวอร์มมาใส่
รูดซิปกระเป๋าและสะพายขึ้น ยืนรอคุโรโกะซึ่งกำลังเช็คสัมภาระอยู่
ร่มถูกแจกจ่ายให้พวกเขา
ต้องขอบคุณริโกะที่คาดเดาไว้ถูกว่าฝนจะต้องตก ทีมบาสเซย์รินเดินเลียบอาคาร
กางร่มกันเม็ดฝนที่ตกกระทบผืนผ้าใบดังเปาะแปะ
ตอนนั้นเองที่คางามิหันไปเห็นทีมชูโตคุกำลังจับกลุ่มเดินสวนออกไป
รุ่นพี่ฮิวงะกับกัปตันโอทสึโบะพยักหน้าให้กันตามมารยาท อีกฝ่ายหลบเลี่ยงสายตาไปก่อน
เป็นปกติของผู้แพ้ที่ยังไม่สามารถยิ้มแย้มยินดีให้ผู้ชนะในทันทีได้ มิโดริมะ
ชินทาโร่ อดีตสมาชิกทีมปาฏิหาริย์ และเป็นเอสคนปัจจุบันของชูโตคุ
เดินเชิดตรงตามหลังรุ่นพี่ ใบหน้าเปียกปอน จะว่าไปทุกคนในทีมต่างก็เปียกปอนเพราะไม่ยอมกางร่มเลยสักคน
คางามิกำลังถอนสายตากลับมา
คิดว่าคงไม่ใช่กงการอะไรของเขา
แม้จะแอบเห็นคุโรโกะมองตามอดีตเพื่อนร่วมทีมอย่างมิโดริมะด้วยความเป็นห่วง
ทว่าสิ่งที่หยุดความสนใจของเขาไว้กลับเป็นเด็กหนุ่มร่างโปร่งผมดำซึ่งเป็นคู่หูคนใหม่ของมิโดริมะ
ทาคาโอะ คาซุนาริ เดินรั้งท้ายสุด ท่ามกลางม่านฝนพร่างพรม
คางามิเห็นหยดน้ำที่ไม่ใช่ฝนเอ่อล้นออกจากดวงตาสีเทา
“ไปกันเถอะครับ
คางามิคุง” เสียงของคุโรโกะดึงสติเขากลับมา
คางามิหันไปมองทางข้างหน้าที่ประดับไปด้วยแผ่นหลังของบรรดารุ่นพี่
เขาไม่รู้เลยว่าภาพเพียงเสี้ยววินาทีส่งท้ายของวันนี้ จะติดตาไปอีกนานแสนนาน
ถึงขั้นตามหลอกหลอนกันเลยทีเดียว
กิจวัตรประจำวันกลับมาอีกครั้งเมื่อว่างเว้นการซ้อมอันหนักหน่วง
คางามิวิ่งวอร์มร่างกายตอนเช้า ย่างเท้าไปบนพื้นอาบแดดอ่อนๆ
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไม่สว่างดีนัก แล้วสังหรณ์ใจว่าฝนจะตกอีกแน่นอน
จึงหยุดวิ่ง ยกข้อมือดูเครื่องวัดกิโลเมตรแล้วกดหยุดเอาไว้ ซับใบหน้าและลำคอด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กแล้วนำกลับไปคล้องบ่า
กึ่งเดินกึ่งวิ่งข้ามถนนไปยังฝั่งของอพาร์ตเม้นต์ เตือนตัวเองว่าต้องแวะซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อวัตถุดิบเข้าบ้านด้วย
ประตูอัตโนมัติเลื่อนเปิดเมื่อคางามิก้าวเข้าไปในซุปเปอร์มาเก็ต เขาหยิบตระกร้ามาคล้องแขนด้วยท่าทางคล้ายแม่บ้าน แล้วออกสำรวจโซนอาหารสด
“จะว่าไปซอสปรุงรสหมดแล้วแฮะ”
บ่นกับตัวเองเบาๆ
ระหว่างนั้นก็เคลื่อนออกจากโซนอาหารสดเมื่อเลือกผักกับเนื้อได้ครบแล้ว
เขาเริ่มเข้าไปในโซนขายเครื่องปรุงรส หยิบขวดแต่ละขวดมาอ่านฉลาก ตัดสินใจวางในตระกร้าหนึ่งขวด
คางามิอยากได้โชยุไปจิ้มทานกับเกี๊ยวซ่าอีกขวด
จำได้ว่าครั้งที่แล้วมันตั้งอยู่อีกล็อคหนึ่ง และล็อคนั้นตอนนี้มีใครคนหนึ่งเขย่งสุดความสูงอยู่
คางามิเงยหน้าพบว่าปลายนิ้วของชายคนนั้นไม่แตะขวดโชยุด้วยซ้ำ
เขาจึงเข้าไปช่วยเหลืออย่างมีน้ำใจ โดยเอื้อมมือหยิบลงมาให้แทน
“โอ๊ะ
ขอบคุณนะครับคุณ...” หันมาแล้วทำตาเบิกกว้าง “คางามิ!”
คางามิไม่ตอบอะไร
เขาหยิบโชยุอีกขวดใส่ตระกร้า
“นายอยู่แถวนี้หรอ”
ทาคาโอะชวนคุยอย่างเป็นกันเอง ทั้งที่เขาเป็นทีมคู่แข่งที่เพิ่งเอาชนะชูโตคุมาหยกๆ
“อืม
อพาร์ตเม้นต์ฉันอยู่ใกล้ๆ นี่เอง”
“ก็ว่าอยู่ว่าแถวนี้ใกล้เซย์ริน
แต่ไม่นึกว่าจะเจอเซย์รินด้วยนี่สิ ว่าแต่ซื้อวัตถุดิบทำอาหารหรอ”
มองตระกร้าเขาอย่างสนอกสนใจ “ทำเป็นด้วยหรอ เจ๋งอ่ะ” เจื้อยแจ้วไม่หยุด
ดวงตาแหลมคมเหมือนเหยี่ยวเหลือบดูของในตระกร้าแล้วหรี่ลง
ก่อนจะทุบกำปั้นลงในฝ่ามือตัวเอง “เกี๊ยวซ่าใช่ป่ะ
ขอแนะนำนะว่ายี่ห้อนั้นไม่ค่อยเข้มข้นเท่าไหร่ ถ้าจะทานกับเกี๊ยวซ่าต้องเป็นยี่ห้อนี้
เห็นฉลากสีเหลืองรึเปล่า หัวมันจะเขียนว่า...”
ทาคาโอะคว้าขวดใกล้ตัวมาสับเปลี่ยนกับขวดในตระกร้าเขาโดยพละการ ก่อนจะรู้ตัว
แล้วรีบขอโทษเขา “โทษทีนะ ฉันก็ลืมไปว่านาย...”
“อืม
ช่างเถอะ ยี่ห้อนั้นก็ได้” คางามิเองก็อยากได้โชยุที่รสชาติเข้มข้นเหมือนกัน
เขาต้องการซอสที่มีรสเปรี้ยวนำเค็ม แต่โชยุส่วนใหญ่ที่เคยซื้อมามักจะเค็มนำเปรี้ยวเสียอย่างงั้น
“นี่
ของล้นแล้วนะ เอาเป็นรถเข็นไม่ดีกว่าหรอ”
“เดี๋ยวก็กลับแล้วล่ะ”
คางามิบอก “ว่าแต่นายซื้อโชยุไปทำอะไรน่ะ” ชวนคุยกลับบ้าง
ปกติคางามิไม่ค่อยเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน
แต่เพราะความคุยเก่งของทาคาโอะทำให้เขาลำบากใจที่จะทำตัวขรึม
ไหนจะภาพในวันที่ฝนตกนั่นอีก คางามิไม่คิดว่าตนจะได้คุยยาวๆ กับทาคาโอะนอกสนาม
ในบรรยากาศที่ไร้เสียงเดาะของลูกบาส ทาคาโอะพูดมาก เหมือนเด็กเจื้อยแจ้ว
แต่ก็น่าฟังทุกประโยค
“ไปทานกับกับข้าวน่ะ
อ่า...ซื้อแป้งหรือยังอ่ะ”
“ยัง”
คางามิครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนจ้องทาคาโอะด้วยดวงตาซื่อตรง “เลือกแป้งให้ฉันหน่อย”
“เอ๋? ฉันหรอ” ทาคาโอะชี้ตัวเอง
ก่อนจะหัวเราะ “ก็ได้นะ ปกตินายใช้ยี่ห้ออะไรล่ะ”
“ไม่ค่อยเน้นเรื่องนั้นหรอก”
“โอเคๆ
อยู่อีกสองล็อคถัดไปนะ เดี๋ยวไปดูด้วยกัน”
“บ้านนายอยู่แถวนี้หรอ”
คางามิไม่คิดว่าตนจะเอ่ยคำถามนี้ออกไปเหมือนกัน ทาคาโอะทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย
แต่ก็ยอมตอบ “เปล่าหรอก แต่วันนี้มาค้างบ้านลุงน่ะ ให้ตายเถอะ อยู่อดๆ อยากๆ ชะมัด
ซอสเหยาะข้าวก็ไม่มี” เผลอบ่นออกมา ปกติทาคาโอะไม่บ่นอะไรให้คนที่ไม่สนิทฟัง
แม้แต่กับมิโดริมะเขาก็ไม่ค่อยบ่น เพราะอีกฝ่ายจะชอบบ่นเขาแทน แต่คางามิให้ความรู้สึกไว้วางใจจนเผลอเล่าออกมาทั้งที่ไม่ได้สนิทกัน
“ยังไม่ได้ทานข้าวเช้าหรอ”
“อื้อ
ยัง อ๋า...นั่นไง นายเห็นตราสีฟ้าๆ หรือเปล่า ยี่ห้อนั้นดีนะ เขาร่อนมาให้แล้วด้วย”
ทาคาโอะชี้ไม้ชี้มืออย่างตื่นเต้น ถุงแป้งวางอยู่สูงพอสมควร
คางามิจึงเป็นคนหยิบเอง
“ไม่แพงด้วยใช่มั้ยล่า
แม่ฉันชอบใช้ยี่ห้อนี้ที่สุดแหละ” ยิ้มยิงฟัน คางามิมองรอยยิ้มนั้นแล้วเผลอยิ้มตามนิดหน่อย
ทาคาโอะน่าจะมีคุณสมบัติพิเศษในด้านการแจกจ่ายความร่าเริง
ทาคาโอะเองก็ลอบสังเกตคางามิอยู่เช่นกัน
เมื่อได้มาอยู่ใกล้ๆ ก็พบว่าคางามิมีร่างกายสูงใหญ่มากทีเดียว
แม้ไม่สูงเท่ามิโดริมะ แต่ก็มีมวลกล้ามเนื้อที่มากกว่า
ยิ่งใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสีดำยิ่งเห็นชัด ตอนเขาเห็นคางามิครั้งแรกในสนามก็คิดว่า
คนอะไรเด็กชะมัด หมายถึงใจร้อนอย่างกับเด็กๆ เล่นบาสแบบใส่อารมณ์เข้าว่า
และยังขี้โวยวายด้วย คุโรโกะผู้เป็นคู่หูค่อนข้างนิ่งมีสติมากกว่า
แต่คางามิก็มีฝีมือโดดเด่นที่ต่อไปหากผ่านการขัดเกลามากกว่านี้
จะสามารถทะยานสู่ระดับโลกได้สบายๆ
อืม...ดูจากชุดแล้วคงจะมาวิ่งสินะ
ผมยังชื้นอยู่เลย
ได้คุยกับเจ้าตัวก็ไม่เห็นจะขี้โวยวายตรงไหน
ไม่น่าหงุดหงิดอย่างที่ชินจังว่า ออกจะดูเป็นวัยรุ่นที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี
เหมือนถนัดใช้ชีวิตโดยไม่พึ่งพาใคร แต่ก็ไม่ตัดขาดจากโลก
ทาคาโอะวิเคราะห์เพลินๆ
อา...คิ้วสองแฉกประหลาดดี
ดวงตาคมกร้าว แอบมีขี้แมลงวันหลบใต้คางด้วยแฮะ
“ถ้าใต้คางล่ะก็คือไฝนะ
ไม่ใช่ขี้แมลงวัน”
ทาคาโอะสะดุ้ง
เห็นมุมปากคางามิกระตุกพร้อมแววรู้ทันในดวงตา เขาเกิดเป็นใบ้กระทันหัน
ตอบอะไรไม่ทันจนกระทั่งคางามิหันหลังให้
หมอนั่นมันโง่...
เสียงมิโดริมะลอยมาจากกลีบสมองไหนไม่รู้
และทาคาโอะก็เถียงสุดเสียงในใจว่า
ไม่เห็นจะโง่ตรงไหนเลย!
คางามิชวนทาคาโอะทานข้าวเช้า
ทาคาโอะตอบตกลงอย่างง่ายดาย กระเพาะเขาประท้วงตลอดทาง
และดูเหมือนคางามิจะได้ยินด้วย เด็กหนุ่มผมแดงหัวเราะเบาๆ
“หึๆ”
“ทำเป็นไม่ได้ยินหน่อยก็ไม่ได้”
เขาบ่นพึมพำ คางามิยักไหล่ แขนขึ้นเป็นแนวกล้ามเนื้อชัดเจนเพราะแบกสารพัดถุงอยู่
“ทาคาโอะ”
เสียงทุ้มห้าวให้ความรู้สึกแตกต่างจากที่ใครเคยเรียกทั้งหมด เหมือนเสียงลมหายใจของเสือ
“หืม”
ครางรับในลำคอ พยายามไม่ใส่ใจไอเห่อร้อนบนแก้ม
“รีบเดินหน่อย ฝนใกล้จะตกแล้ว”
ฟ้าผ่าดังครืน
จากที่เดินช้าๆ เริ่มก้าวเร็วขึ้น และเปลี่ยนเป็นวิ่งเมื่อฝนลงเม็ด
ทั้งสองผลุบเข้าไปในอพาร์ตเม้นต์พอดีกับที่ฝนตกหนักเต็มจังหวะ
ทาคาโอะมุมปากกระตุกเมื่อเห็นคางามิโอบถุงทุกถุงไว้ในอ้อมแขนเหมือนพ่อปกป้องลูก
เขาขำก๊ากออกมา และคางามิก็หลบตา แค่นเสียงตะกุกตะกักเปลี่ยนเรื่อง
“ข...ขึ้นห้องได้แล้วน่า”
“ฮ่าๆๆ
โอเค ฮ่าๆๆๆ”
“ยังจะขำอีก”
“ก็มันขำอ่ะ
ฮ่าๆๆ” น้ำตาจากการหัวเราะคลออยู่ที่ขอบตา คางามิชะงัก
ภาพหลังการแข่งวันนั้นหวนเข้ามา แล้วคางามิก็ย้ายถุงไปถือมือซ้ายทั้งหมด
ยกนิ้วโป้งปาดน้ำตาให้ทาคาโอะ
สรรพเสียงเงียบงัน
เหลือเพียงดนตรีธรรมชาติ ดวงตาคมกริบที่หนักแน่นราวกับหินภูเขาไฟ ฉายอยู่ในโฟกัสของฮอว์กอายส์
ทาคาโอะหลุบตามองต่ำ และคางามิก็เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอทำอะไรลงไป
“โทษที”
คางามิเอ่ยเบาๆ หันไปกดลิฟต์ ทาคาโอะก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง เขาไม่แสร้งหัวเราะเพื่อเปลี่ยนเรื่องเหมือนที่เคยทำ
ไม่แกล้งร่าเริงเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
ราวกับว่าพอใจให้ความกระอักกระอ่วนอ้อยอิ่งรอบกาย
พอถึงห้อง
คางามิก็วางของที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะกินข้าว จากนั้นก็ขอตัวไปอาบน้ำก่อน
ทาคาโอะไม่กล้าหย่อนกายลงบนโซฟาที่ดูออกว่าเป็นหนังแท้ เพราะตัวเปียกซก เขาจึงเลือกไปนั่งเก้าอี้ไม้
กวาดตาสำรวจห้องกว้างขวางที่หาได้ยากในโตเกียวอันแออัด คางามิคงมีฐานะพอสมควร
น่าจะถึงขั้นร่ำรวย...ทาคาโอะรำพึงเมื่อกวาดตาครบแล้ว ถึงห้องจะโล่งว่างไปหน่อยก็เถอะ
ถ้าเป็นทาคาโอะจะหารูปติดผนังให้หมด และจะใช้เฟอร์นิเจอร์สไตล์โมเดิร์นด้วย
คางามิอาบน้ำไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ
หนุ่มร่างสูงออกมาพร้อมกลิ่นสบู่หอมกรุ่น พร้อมโยนผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ให้เขา บอกเสร็จสรรพว่าให้ไปอาบน้ำสระผม แล้วใส่ชุดที่เตรียมไว้ให้ ทาคาโอะไม่ปฏิเสธ เขากลัวตัวเองเป็นปอดบวมเหมือนกัน
ตอนเขาแต่งตัวด้วยชุดหลวมโพรกของคางามิออกมาคางามิเพิ่งหุงข้าวเสร็จ เด็กหนุ่มง่วนอยู่ในครัว
แม้จะเห็นจากทางด้านหลังแต่คางามิก็คล่องแคล่วราวกับพ่อครัวมืออาชีพ
เคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติทั้งที่อุปกรณ์ประกอบฉากคือหมูกับแป้ง และซิ้งล้างจาน
“ให้ฉันช่วยนะ”
ทาคาโอะเสนอตัวทันที เขารู้ว่าตัวเองจะไม่ถูกห้ามหรือบ่น
คางามิเปิดทางให้เขา
“เอาสิ” แอบขำนิดหน่อย เพราะชุดราคาแพงจากอเมริกาของเขากลายเป็นกระโปรงย่อมๆ
บนตัวทาคาโอะ
“นายหมักหมูกับผักเสร็จแล้วนี่”
ทาคาโอะว่า คางามิพยักเพยิดไปที่แป้งซึ่งทำการผสมเสร็จเรียบร้อยแล้ว “นายห่อไปนะ
ฉันจะไปต้มซุป”
ทาคาโอะทำแป้งให้เป็นแผ่นบางๆ
แล้วตัดให้เท่ากัน “ใช้มือเลยนะ” ทาคาโอะบอก คางามิพยักหน้า “เอาเลย ตามสบาย”
ทาคาโอะจึงจ้วงมือลงในชามหมูหมัก
แล้วควักขึ้นมาพอเหมาะพอดีเหมือนมือเป็นเครื่องตวง คางามิแอบชื่นชมความคล่องแคล่วนั้น
แล้วหันมาทำซุปต้มกระดูกต่อเพื่อใช้นึ่งเกี๊ยวต่อไป ทาคาโอะห่อแป้งออกมาสวยมาก
คางามิผิวปาก
“เจ๋ง”
“แน่นอน”
ทาคาโอะยิ้มแฉ่งด้วยใบหน้าเหมือนเด็กๆ คางามิสำลักขำ “ฮ่าๆๆ
นายใช้หน้าปั้นเกี๊ยวหรือไง” วางกระบวยลง ใช้นิ้วเช็ดแป้งออกให้ ทาคาโอะทำหน้ายู่ว
“อย่าล้อกันสิ” แล้วใช้มือเลอะๆ ของตนปาดแป้งบนแก้มคางามิ
“เฮ้!”
“ฮ่าๆ
เจ๊ากันนะ”
“นายนี่มัน”
“ฉันทำไมหรอ
คางามิคูง” ลากเสียงท้าทาย ครัวกลายเป็นสมรภูมิย่อมๆ สุดท้ายพอผมสีแดงและสีดำกลายเป็นสีขาวเพราะฝุ่นแป้ง
เกี๊ยวก็ถูกนำลงนึ่งในน้ำซุปต้มกระดูกสูตรพิเศษของคางามิ
ทั้งสองหันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะ
ทาคาโอะไม่บ่นหิวสักแอะแม้ต้องรอนาน
เขาสนุกไปกับการทำอาหารกับคางามิ ไม่นานเกี๊ยวก็สุก คางามิคุยอย่างภาคภูมิใจว่าหม้อนึ่งร่นระยะเวลาที่เขาสั่งซื้อจากอเมริกาสามารถทำทุกอย่างให้สุกได้ภายในสิบนาที
“ทอดกันเถอะๆ”
ทาคาโอะเร่งเร้าเสียงตื่นเต้น คางามิตั้งกระทะเทฟล่อน หยอดน้ำมัน “เอานึ่งครึ่งนึง
ทอดครึ่งนึงนะ”
“โอเคเลย
โหย...หอมมากอ่ะ” ทาคาโอะสูดจมูก ไม่ถึงห้านาทีพวกเขาก็ช่วยกันตรงโต๊ะ ยกอาหารไปวาง
จานหนึ่งเป็นเกี๊ยวซ่านึ่ง อีกจานหนึ่งทอด
ทาคาโอะตักข้าวใส่ถ้วย ยื่นให้คางามิ
คางามิไม่มีการกล่าวเริ่มต้นว่า
‘ทานแล้วนะครับ’
เพราะเป็นเด็กนอก เขาคีบเกี๊ยวซ่าทอดวางในจานทาคาโอะ และตัวเอง
“โอ๊ะ
ขอบใจนะ ทานล่ะนะคร้าบ” ทาคาโอะพนมมือ พอลืมตาขึ้นก็เห็นคางามิกำลังพุ้ยข้าวแก้มป่อง
“ฮ่าๆ
อะไรกันล่ะเนี่ย” ภาพไม่เคยชินแต่ไม่น่าเกลียดทำให้เขาหัวเราะอีกครั้ง จะว่าไปเช้าวันนี้เขาหัวเราะหลายรอบแล้ว
ทาคาโอะคีบเกี๊ยวเข้าปากบ้าง เขาตาโตเพราะความอร่อยสุดขีด “สุดยอด
แต่ร้อนชะมัดเลยแฮะ” ทาคาโอะเป่าปาก ยกมือพัด คางามิเลื่อนน้ำเย็นให้
“แต๊งกิ้ว”
ทาคาโอะกล่าว เขาเทน้ำเย็นลงในแก้ว แล้วกระดก คอเรียวยาวยืดขึ้น
ลูกกระเดือกขยับตามแรงกลืน คางามิจ้องสักพัก ก่อนกลับมามองช้อนในมือตอนทาคาโอะวางแก้วลง
พวกเขาคือความแปลกใหม่ของกันและกันที่ไม่เคยได้สัมผัสจากใคร
และไม่คิดว่าจะโคจรมามีช่วงเวลาแบบนี้ร่วมกันด้วยซ้ำ ทาคาโอะไม่ได้ดูกวนประสาทและร่าเริงเกินเหตุอย่างที่คางามิเห็นในคราวแรก
คางามิไม่ได้เอาแต่โวยวาย ใจร้อนบ้าระห่ำเหมือนที่ทาคาโอะเห็นในสนาม
ตัวตนแท้จริงของพวกเขาแผ่ออกในห้องครัวที่อบอุ่นด้วยกลิ่นเกี๊ยวซ่า
นอกหน้าต่างห้องฝนยังคงตกอยู่ ทาคาโอะจึงได้ใช้เวลาในห้องนี้ต่อด้วยการช่วยคางามิล้างจาน
ผลัดกันเข้าไปอาบน้ำล้างตัวอีกรอบ แล้วออกมานั่งดูโทรทัศน์ด้วยกัน คางามิเปิดดูเทปบันทึกเอ็นบีเอก่อน เวลาต่อมาก็เปลี่ยนไปดูการ์ตูนพากย์ภาษาอังกฤษ
คางามิถนัดฟังภาษาอังกฤษมากกว่า เขาโล่งใจที่ทาคาโอะไม่มีปัญหา
เพราะเจ้าตัวก็ถนัดภาษาอังกฤษพอสมควร
“การ์ตูนเรื่องนี้ถ้าจำไม่ผิดมันเป็นแนวจิกกัดการใช้ชีวิตของคนอเมริกันใช่ป่ะ”
“ใช่”
คางามิตอบ เขาชอบดูเรื่องนี้แม้ไม่เข้าใจมุกเสียดสีในเรื่องก็ตาม
“มันเป็นตลกร้าย”
ทาคาโอะกล่าว สายตาทอดมองไปที่จอ ตัวการ์ตูนขยับสะท้อนในกระจกตา
“ก็ใช่อีกนั่นแหละ”
คางามิกดเบาเสียงลง “ฉันดีใจที่นายดูโอเค”
ทาคาโอะมุ่นคิ้ว
“ฉันโอเคกับอาหารเช้าที่แสนอร่อยอย่างนี้นะ”
“ฉันหมายถึงแมตล่าสุด”
คำพูดของคางามิทำให้ทาคาโอะนึกถึงวันแห่งความพ่ายแพ้ที่สายฝนกระหน่ำราวกับจะตอกย้ำ
ใช่ วันนั้นเขาเสียใจ ทุกคนในทีมเสียน้ำตา ตอนที่ทุกคนทำใจได้แล้วว่าจะสู้ต่อไป
ทาคาโอะพยายามเดินรั้งท้าย น้ำตาของเขายังไม่หยุดไหล
และเขาไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอของเขาอีกโดยเฉพาะมิโดริมะ
เขายังเจ็บปวดอยู่...ด้วยเหตุผลที่นอกเหนือจากการแข่ง
“แย่ชะมัด”
บ่นพึมพำ ทว่าคางามิได้ยิน
“ที่นายร้องไห้น่ะหรอ?”
“นายเห็น?!” ทาคาโอะโยกตัวขึ้นจากพนักโซฟา
คางามิยักไหล่
“นี่คางามิ...”
“ฉันไม่บอกใครหรอกน่า”
คางามิกล่าวด้วยน้ำเสียงปราศจากการล้อเลียน “ฉันดีใจที่วันนี้นายยิ้มและก็หัวเราะ
ก็แค่นั้นเอง”
ทาคาโอะอ้ำอึ้งหน้าแดงเล็กน้อย ทิ้งตัวกลับไปพิงโซฟาต่อ
“มันดูแย่มากใช่มั้ยล่ะ” เขาตัดสินใจระบายให้คางามิฟัง “ทุกคนเข้มแข็งขึ้น
น้ำตาเหือดไปแล้ว แต่ฉันยังร้องไห้อยู่ ฉันเจ็บใจที่ตัวเองไม่เก่งพอ”
“ฉันรู้...แต่มันไม่ใช่แค่นั้นใช่ไหมล่ะ”
ทาคาโอะเหล่ตามอง
คางามิจ้องเพดานอยู่
“อะไรทำให้นายคิดอย่างงั้นล่ะ”
ทาคาโอะถามอย่างจริงจัง และคางามิก็มอบคำตอบที่แสนจริงใจ...จริงใจมากไปด้วยซ้ำ “นายมองแผ่นหลังของมิโดริมะ
แล้วนายก็ร้องไห้”
เงียบกันไปสักพัก
ต่อมาทาคาโอะก็หัวเราะลั่นๆ “ฮ่าๆๆ ใครบอกว่านายโง่กันน้า คางามิ ฮ่าๆๆ”
ทาคาโอะทุบโซฟา หัวเราะร่วนจนคางามิเริ่มจะอาย “ฉันไม่ได้โง่สักหน่อย”
เถียงเสียงเบา แต่โดนทาคาโอะหัวเราะกลบหมด “ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ ฮ่ะๆ...”
ทาคาโอะแผ่วลง
ก้มหน้าจนผมปรกลงมาปิดบัง แผ่นหลังยังคงสั่นเล็กน้อย
คางามิไม่ได้ขยับเขยื้อนหรือกล่าวคำปลอบโยน เขาเพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆ
ฟังเสียงเริงร่าที่เปลี่ยนไปเป็นสะอื้น เขาเข้าใจว่าฝนจะตกอยู่เสมอและตลอดไป
ตราบใดที่หัวใจยังคงแบกรับความเจ็บปวดไม่เสื่อมคลาย
คางามิวางมือบนลงไหล่ของทาคาโอะ
แล้วบีบเบาๆ ได้ยินเสียงอู้อี้รอดลำคอของทาคาโอะซ้ำไปซ้ำมา
ฉันรักเขา...ฉันไม่อยากให้เขาเจ็บ
คางามิดึงทาคาโอะให้มาพิงไหล่ตน
ทาคาโอะซบหน้าลงกับบ่าแกร่ง กลิ่นกายอบอุ่นของคางามิทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
คางามิคงจะไม่ว่าอะไรถ้าเสื้อของคางามิจะเปียกปอนด้วยน้ำฝนจากดวงตาของเขา
“นี่มันน่าอายชะมัดเลย
นายว่ามั้ย” ทาคาโอะเอ่ยด้วยเสียงทะเล้น แต่ยังแหบพร่าอยู่
“ไม่เป็นไร”
คางามิกล่าว
“นายใจดีจัง”
ทาคาโอะซุกจมูกกับแขนเสื้อเขา “นี่ ฉันหลับได้ไหม”
“ถึงนอนหลังกินข้าวจะไม่ดีเท่าไหร่
แต่นายจะหลับก็ได้”
ทาคาโอะหัวเราะในลำคอ
เปลือกตาปิดลง คางามิอดไม่ได้ที่จะลูบผมสีดำสนิทเมื่อลมหายใจของทาคาโอะสม่ำเสมอ
เขาจะไม่ปลุกทาคาโอะ ยกเว้นว่าทาคาโอะจะมีท่าทีว่าฝันร้าย แต่ทาคาโอะก็หลับสนิท
คู่แข่งต่างทีมที่เพิ่งจะรู้จักมาหลับสนิทในอ้อมแขนเขาราวกับนกน้อยที่บอบช้ำ
คนคนนี้น่ะหรอที่ได้สมญานามว่าตาเหยี่ยว...คางามิพิจารณาแผงขนตาที่เข้มคม
ทาคาโอะเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยาก
แม้ไม่มาชนกับเขาตรงๆ แต่เพราะเทคนิคฝีมือของนักบาสตาเหยี่ยวผู้นี้ติดอาวุธให้มิโดริมะ
และทำให้เกมของเซย์รินรวนจนเกือบร่วง
“รักงั้นหรอ...”
คางามิเปรยให้ตัวเองฟัง มือยังวางอยู่บนผมทาคาโอะ
ชายคนนี้หลงรักคู่หูของตัวเอง
คางามิปรือตาลง
เขาเองก็เริ่มจะง่วงแล้วเหมือนกัน
ทาคาโอะกลับไปตอนบ่าย
เขาเก็บขวดโชยุของตนใส่ถุง โบกไม้โบกมืออย่างเกรงใจเมื่อคางามิชวนทานมื้อเที่ยง
“แบบว่า...ฉันยังอายอยู่น่ะ
ดันไปร้องไห้ใส่นายซะได้” ทาคาโอะเกาจมูกแก้เขิน
ก่อนจะคลี่ยิ้มแฉ่งตอนที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงมาทางประตูห้อง
ฝนหยุดตกตั้งแต่เที่ยงแล้ว “ขอบคุณนะ”
“อืม”
คางามิตอบรับ “เอาร่มติดไปหน่อยไหม เผื่อฝนตกอีก”
“ไม่เป็นไร
บ้านลุงอยู่ไม่ไกล เดินแป๊บนึงก็ถึงแล้ว”
แต่คางามิไม่ฟัง
เขาเปิดตู้หาร่มเล็กให้ “อ่ะนี่” ร่มสีแดงถูกส่งให้ ทาคาโอะรับมางงๆ “เอ่อ...ขอบใจ
เอ้อ คางามิ วันหลังฉันมาที่นี้อีกได้มั้ย” ทาคาโอะถาม
เขาแค่รู้สึกว่าการมาที่ห้องคางามิทำให้เขามีความสุขอย่างคาดไม่ถึง
และเขาก็อยากจะหวนกลับมาอีก
แต่...ในฐานะอะไรล่ะ?
เพื่อนหรอ...
คางามิเหลือบสายตาไปที่ร่มที่เพิ่งส่งให้
“นายมีเหตุผลที่นายจะกลับมา”
ทาคาโอะยกร่มขึ้นดู
อดหัวเราะดังๆ ไม่ได้ “ฮ่าๆๆ นั่นสินะ ฉันต้องเอาร่มมาคืนนี่นา ไปก่อนนะคางามิ
วันนี้ฉันสนุกมากเลย”
“กลับระวังๆ
ล่ะ ข้ามถนนดูรถด้วย”
“คร้าบผม
แต๊งกิ้วนะ” ทาคาโอะวันทยาหัตให้ แล้วหันหลังเดินผิวปากไปตามระเบียงทางเดิน
คางามิมองจนแผ่นหลังนั้นหายไปจากหัวมุม เขายิ้มแล้วก็ปิดประตู
สองสัปดาห์ต่อมา
“คางามิคุงครับ
ถึงแล้วนะครับ” คุโรโกะปลุกเขาเมื่อรถแล่นถึงสนามแข่ง คางามิดัดคอเล็กน้อย
หยิบกระเป๋าก้าวลงจากรถมาสบทบเพื่อนร่วมทีม ฮิวงะและริโกะเดินนำสมาชิกชมรมบาสเซย์รินมุ่งเข้าสู่การแข่งขัน
ตอนนั้นเองที่ฟุคุดะโพล่งขึ้นมาว่า “นั่นชูโตคุนี่นา!” คางามิจึงหันไปมอง
ทาคาโอะเดินจับกลุ่มกับสมาชิกชูโตคุ
เขาอยู่ข้างมิโดริมะและหัวเราะเสียงดัง ดวงตาสีเทาเบนมาสบเขา
ตอนที่ฮิวงะกับคิโยชิหยุดทักทายโอทสึโบะ ทาคาโอะก็เข้ามาหาเขากับคุโรโกะ “ไง
คางามิ คุโรโกะ”
“สวัสดีครับทาคาโอะคุง
มิโดริมะคุง”
“วันนี้ก็พยายามเข้านะ”
ทาคาโอะเชียร์ คุโรโกะยิ้ม “ขอบคุณครับ”
“หึ!” มิโดริมะแค่นเสียง
ดันแว่นท่าประจำ “ไปกันเถอะทาคาโอะ”
“โฮ่ยๆ
ยังทำตัวน่าหมั่นไส้ไม่เปลี่ยนเลยนะ” คางามิยั่วอารมณ์
มิโดริมะปลายตามองแล้วกระตุกมุมปาก ทาคาโอะแทรกกลางเข้ามา “น่าๆ ไปกันเถอะชินจัง
สู้เขานะคางามิ”
“เออ”
คางามิตอบ ทาคาโอะกระพริบตาให้ คางามิพยักหน้า โชคดีว่ากิริยาเป็นมิตรไม่คาดคิดนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาคุโรโกะที่เดินไปตามเสียงเรียกของริโกะพอดี
ตอนทาคาโอะหันหลัง
มิโดริมะหันไปช้ากว่า ดวงตาสีมรกตใต้กรอบแว่นสะท้อนแววไม่ไว้วางใจ
แต่คางามิไม่ใส่ใจ ยักไหล่ เดินหนีเสียดื้อๆ
“ข้างนอกฝนตกอีกแล้วล่ะ”
โคกาเนอิบ่น
“แต่โค้ชคงจะเอาร่มมาเนอะ”
มิโตเบะพยักหน้า ทั้งสองวิ่งตามคางามิไปตอนที่ไฟสนามสว่างจ้าราวกับแสงอาทิตย์
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบชอบคู่แรร์!! หาอ่านยากมาก! (เน้นแปล ซึ่งก็มีแค่ 2-3 เรื่องเองง่า)
ตอบลบขอบคุณนะคะ น่ารักมากอ่ะ